“สุริยะใส”จี้ “เด็กแม้ว”หยุดอ้างเป็นผู้เชี่ยวชาญโรคตาออกตรวจผู้บาดเจ็บ แถมแอบอ้างขอเก็บหลักฐาน พร้อมเผยคนหาย 6 ราย เตรียมสอบเบาะแส ตร.หิ้วปีกผู้ชุมนุมเข้า บชน.ก่อนหายเงียบ แฉแผนชั่ว“สล้าง บุนนาค”จ้าง ตร. 1 พันพร้อมกลุ่มกุ๊ยยึดทำเนียบ มี “ทักษิณ”ชักใย เป็นแผนขั้น 2 หลังแผน 7 ต.ค.ล้มเหลว เป้าหมายสร้างเงื่อนไขขอลี้ภัย ระบุเตรียมป้ายสีพันธมิตรฯ ไม่จงรักภักดี-มีอาวุธ ก่อนลุยปราบ เลียนแบบ 6 ตุลาฯ
เมื่อเวลา 19.10 น. วันนี้ (10ต.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ขณะนี้มีขบวนการผู้ไม่หวังดีเชื่อมโยงกับอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย คือ นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ อดีต ส.ส.แพร่ พรรคไทยรักไทย ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญโรคด้านตา ได้เดินขอตรวจผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค. ทั่วกรุงเทพฯ และให้ทีมงานแฝงตัวอ้างว่าเป็นพันธมิตรไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บ โดยพยายามขอหลักฐานจากคนเจ็บ เช่น โทรศัพท์ เสื้อผ้า รองเท้า ผ้าเช็ดหน้า หมวก ผ้าพันคอ ซึ่งบางส่วนก็หลงกลมอบให้ไป ดังนั้นจึงขอให้นายทศพรยุติบทบาท เพราะไม่ใช่หน้าที่ที่จะต้องไปขอตรวจ โดยอ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ เพราะเนื่องจากเป็นการซ้ำเติมผู้บาดเจ็บ ส่วนพันธมิตรที่จะไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บนั้น หากเป็นไปได้ ให้ลงทะเบียนแจ้งชื่อที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือแจ้งที่ศูนย์บัญชาการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลผู้ป่วยโดยเฉพาะได้
นายสุริยะใสกล่าวต่อว่า สำหรับตัวเลขคนหายขณะนี้ 6 ราย โดยมีคนแจ้งเบาะแสว่าในช่วงการชุมนุมวันที่ 7 ต.ค. เห็นตำรวจหิ้วปีกคนเจ็บเข้าไปกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บชน.) ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น เราจะตรวจสอบต่อไป
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ระบุว่า จะใช้ทุนส่วนตัวระดมตำรวจ1,000 นายยึดทำเนียบรัฐบาลนั้น นายสุริยะใสกล่าวว่า เราทราบข่าวนี้มาก่อนแล้ว ซึ่งเป็นแผนการปราบขั้นที่ 2 ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้บงการ เนื่องจากแผนขั้นที่ 1 คือ การใช้กำลังของรัฐปราบปรามเต็มรูปแบบนั้นไม่สำเร็จ จึงใช้แผนขั้นที่ 2 ซึ่งเป็นการล้อมปราบแบบเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 โดยจำลองทำเนียบรัฐบาลเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยอ้างว่าเป็นผู้ไม่จงรักภักดี แถมยังมีอาวุธ จนนำไปสู่การปราบปราม โดยดีเดย์วันที่ 13 หรือ 14 ตุลาคม ซึ่งเป็นการสนธิกำลัง 3 ฝ่ายคือ ตำรวจในและนอกเครื่องแบบ ชมรมจัดตั้ง เช่น กลุ่มคนรักทักษิณ และกลุ่มกุ๊ยคนนอกรีด โดยทราบจากกรมควบคุมความประพฤติว่าพบการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้มากผิดปกติ ซึ่งพันธมิตรคงต้องจับตา
อย่างไรก็ตาม นายสุริยะใสยืนยันว่า พันธมิตรฯ จะรักษาทำเนียบเป็นพื้นที่หลัก แต่จะไม่มีการเผชิญหน้า แม้อารมณ์ของมวลชนบางส่วนจะไปถึงจุดนั้นแล้วก็ตาม ซึ่งถ้าหากมีการล้อมปราบ เราก็จะใช้สิทธิป้องกันตัวเอง อย่างเข้มข้น
นายสุริยะใสกล่าวอีกว่า คำพูดของ พล.ต.อ.สล้างนั้น ชี้ให้เห็นว่า ความรุนแรงตลอดช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากพันธมิตร นอกจากนี้เรายังทราบจากแหล่งข่าวที่ประเทศอังกฤษด้วยว่า แผนขั้นที่ 2 นี้ เกี่ยวกับการขอลี้ภัยของ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย เนื่องจากขณะนี้ ขั้นตอนการขอลี้ภัยนั้นช้ามาก เนื่องจากหวังเอาไว้ว่า เหตุการณ์ 7 ตุลา จะทำให้รัฐบาลอังกฤษเร่งอนุมัติให้ แต่ตรงกันข้าม เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษมองว่า รัฐบาลชุดนี้มีความเกี่ยวโยงกับพ.ต.ท.ทักษิณ จึงทำให้ฟังไม่ขึ้น
ส่วน พล.ต.อ.สล้างนั้น ความน่าเชื่อถือ คงไม่ต้องพูดถึง แล้วอย่านึกว่าการล้อมปราบนักศึกษา เมื่อ 6 ตุลา 19 จะเป็นสูตรสำเร็จในการปราบปรามผู้บริสุทธิ์ เพราะสังคมประชาธิปไตย ต่อต้านความรุนแรงทุกรูปแบบ และหากสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง พันธมิตรฯ ก็ไม่มีทางเลือก อย่างไรก็ตาม เราไม่อยากเห็นเหตุการณ์แบบ 7 ตุลาอีก อยากให้เป็นครั้งสุดท้าย ขอถาม พ.ต.ท.ทักษิณ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ว่า เหตุการณ์เมื่อ 7 ตุลา ยังไม่เพียงพออีกหรือ ต้องการเห็นคราบเลือดและน้ำตามากกว่านี้อีกหรือ
สำหรับการเดินทางไปชุมนุมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ในวันที่ 13 ต.ค.นี้ นายสุริยะใสกล่าวว่า ไม่ใช่การไปประท้วง สตช. แต่เป้าหมายหลักของเราคือ ตีแผ่ข้อเท็จจริงในคืนวันที่ 7 ตุลา เพื่อให้สังคมรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง ใครเป็นคนลงมือ และมีแค่แก๊สน้ำตาจริงหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรงว่าจะเกิดเหตุรุนแรงที่ สตช.หรือไม่ นายสุริยะใสกล่าวว่า เราไปเพื่อรณรงค์ ไม่ได้ไปปีน ยึด หรือไปทำลาย สตช. ดังนั้นคงไม่มีเหตุผลที่จะต้องออกมาแสดงความรุนแรงอะไร ส่วนจะเคลื่อนไหวไปที่สยามหรือสีลมต่อหรือไม่ คงจะต้องดูสถานการณ์อีกครั้ง
สำหรับการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลา โดยหลักการแล้ว จะต้องตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลาง เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย และจะต้องมีการตรวจสอบองค์ประกอบด้วยว่า องค์ประกอบในการตั้งคณะกรรมการมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ตัวกรรมการมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นเรื่องยาก ที่ผู้ทรงคุณวุฒิจากทุกฝ่ายจะเข้ามาเป็นการการ
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า กรณีการตั้งคณะกรรมการการสอบสวนเหตุการณ์นั้นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่มีเราก็ไม่ได้เสียใจอะไร เราจะใช้สิทธิทางศาลทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โดยขณะนี้ พันธมิตรวอชิงตัน ดี.ซี. ได้เริ่มประสานงานเพื่อร้องต่อสภาคองเกรสของสหรัฐโดยตรงแล้ว เพื่อให้เห็นว่า เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม เป็นอาชญากรรมโดยรัฐ ที่ทั้งจัดการเองและบงการเอง ดังนั้นผู้หลักผู้ใหญ่คงไม่เข้ามาเป็นคณะกรรมการให้กับรัฐบาลที่หมดความชอบธรรม ทั้งสุ่มเสี่ยงต่อชื่อเสียง และอาจกลายเป็นการประทับรับรองความชอบธรรมให้กับรัฐบาลชุดนี้ เพราะแม้แต่คุณหญิงแพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ล่าสุดในการลงพื้นที่เบื้องต้นวันนี้ ก็ยังพบว่ามีสารระเบิดทั้งที่ บชน.และ รถจิ๊ป
เมื่อถามว่า ประเมินบทบาททหารอย่างไร นายสุริยะใสกล่าวว่า บทบาทของกองทัพ ในภาวะวิกฤติแบบนี้ ภาพการนำทหารสามเหล่าทัพมายืนตากแดด ตนยังนึกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง เพราะไม่มีประโยชน์ต่อการคลี่คลายความขัดแย้ง อย่างไรก็ตามสังคมกำลังจับตาดูอยู่ และทหารจะเป็นผู้เพลิกหน้ามือเป็นหลังมือได้หรือไม่ ดังนั้นคงขึ้นอยู่กับ ผบ.ทบ. เพราะสามารถทำอะไรได้มากกว่ารัฐประหารตั้งเยอะ
อย่างไรก็ตาม จากการให้สัมภาษณ์ล่าสุดของ พล.อ.อนุพงษ์ถือว่ามีสัญญาณที่ดี เนื่องจากท่านอาจจะได้ข้อมูลมากขึ้น ท่าทีของท่านจึงชัดเจนมากขึ้นว่า รัฐบาลต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ถ้าหากรัฐบาลไม่ยอมรับผิดชอบ อยากถามว่าทหารจะทำอย่าไรต่อไป
ส่วนประเด็นที่มีภาพพันธมิตรล้อมทำลายตำรวจนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ว่า ตรงนี้ ไม่ใช่นโยบายของพันธมิตร ซึ่งถ้าหากมีการอ้างว่าเป็นพันธมิตรแล้วมีหลักฐานก็สามารถดำเนินคดีได้ทันที