ผู้จัดการออนไลน์ – คอลัมนิสต์รุ่นเฮฟวีเวต “เปลว สีเงิน” เตือนรัฐบาลอย่าสร้างเงื่อนไขให้ พันธมิตรฯชุมนุมต่อ ชี้ข้อตกลง4ฝ่าย ตั้ง ส.ส.ร.3 ไร้น้ำหนัก เพราะประชาชนไม่เชื่อถือ วิเคราะห์ “อภิสิทธิ์-ประสพสุข” ไม่ทันเกมการเมืองซีกน้องเขยทักษิณ ฟันธง ส.ส.ร.3 ไม่ทันการณ์ ไม่ใช่ทางออกและจะสุมไฟวิกฤตการเมืองให้หนักขึ้น
ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ฉบับวันนี้ (4 ต.ค.) เปลว สีเงิน คอลัมนิสต์อาวุโสได้เขียนบทความเรื่อง ส.ส.ร.3“ด้วยเกียรติที่ไร้ค่าประกัน” โดยช่วงต้นของบทความกล่าววิพากษ์วิจารณ์ท่าทีของรัฐบาล และตำรวจว่า การจับนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ หนึ่งในเก้าแกนนำพันธมิตรฯ ที่ถูกหมายจับข้อหากบฎนั้นถือเป็นการสร้างเงื่อนไขให้กลุ่มพันธมิตรฯ ให้รวมตัวกันชุมนุมต่อไปอีก ทั้งๆ ที่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 ต.ค. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพันธมิตรฯ ก็แสดงท่าทีที่อ่อนลงและพร้อมจะเปิดการเจรจาแล้ว และศาลอุทธรณ์ก็กำลังพิจารณาหมายจับดังกล่าวด้วยว่าชอบหรือไม่
จากนั้นคอลัมนิสต์อาวุโสของไทยโพสต์ ได้กล่าวถึงการที่วานนี้ (3) มติที่ประชุม 4 ฝ่ายอันประกอบไปด้วย รัฐบาล สภาผู้แทนฯ วุฒิสภาและฝ่ายค้าน ตกลงร่วมกันที่จะแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อใช้แนวทางตั้ง “ส.ส.ร.3” เป็นรูปแบบปฏิรูปการเมืองโดยเปรียบเทียบว่า ข้อตกลงของทั้ง 4 ฝ่ายนั้นเป็น “สัญญาเกียรติยศ” ลมๆ แล้งๆ เท่านั้นและไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะช่วยผ่าทางตันให้กับประเทศ แต่น่าจะช่วยหาทางออกให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมากกว่า นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมประชุมทั้ง 4 คนก็ไม่สามารถสร้างน้ำหนักความน่าเชื่อถือให้กับประชาชนได้
“ในยุคสังคมไทยล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ เราลองสำรวจดูซิครับว่า บุคคลเหล่านี้มี “เกียรติยศ” เป็นน้ำหนักให้เชื่อถือกันได้ซักแค่ไหน? ประธานชัย ชิดชอบ ผู้มี ส.ส. “แก๊งเพื่อนเนวิน” เป็นน้ำหนัก, นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผู้มี ส.ส. “แก๊งยุทธ-แดง-หน่อย” เป็นน้ำหนัก, ประธานวุฒิฯ “ประสพสุข บุญเดช” ผู้ (ไม่) มี ส.ว.เป็นน้ำหนัก และ ผู้นำฝ่ายค้าน “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้มี ส.ส.ปชป.เป็นน้ำหนัก …เอาขึ้นตาชั่งแล้ว ท่านว่า น้ำหนักใครผ่านบ้างครับ?
“ผมว่าเชื่อถือใครไม่ได้เลย ไม่ใช่เพราะตัวท่านเหล่านั้น “ไม่น่าเชื่อถือ” แต่เป็นเพราะว่า แต่ละท่าน “น้ำหนักไม่พอ” คือน้ำหนักไม่ถึงมาตรฐานนั่นเอง!” เปลว สีเงิน กล่าว
นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่า นายสมชายยังแสดงท่าทีไม่จริงใจด้วยการที่ไม่ยอมเจรจาให้ทางนายชัย ประธานสภาผู้แทนฯ ถอนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของ “นายเหวง-นายจรัล” ที่นายชัย แอบบรรจุเข้าวาระเป็นในสภา โดยนายสมชายอ้างว่าเป็นเรื่องของสภาฯ ทั้งๆ ที่ลึกๆ แล้ว เกมดังกล่าวได้ถูกกำหนดไว้เพื่อเอื้อให้คดีความ พ.ต.ท.ทักษิณ หมดแล้ว
“เหล่านี้คือเหตุผลว่า ที่นายกฯ สมชายใช้เกียรติยศรับประกัน “ไม่มีสอดไส้” นั้น มันเป็นเกียรติยศที่ดิ้นได้ตามเงื่อนไขที่ท่านแง้มประตูไว้เองว่า “รัฐธรรมนูญปี 50 ให้ ส.ส.มีอิสระ” ท่านเองไม่สอดไส้ แต่ ส.ส.ในพรรคพลังประชาชนที่ท่าน “คุมไม่ได้” เขาสอดไส้กันเองเพื่อ “นายใหญ่” ไปล่วงหน้าเรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ? แบบนี้มัน “2 ต่อเข้าฮอร์ส” หลอกฝ่ายค้าน หลอกประธานวุฒิฯ เป็นเครื่องมือได้สำเร็จ ฝ่ายท่านกับประธานชัยที่สามารถตกลงกันเป็น “แพ็กเกจ” ได้ตามสไตล์ที่รู้ไส้กันอยู่แล้ว มีแต่ได้กับได้” เปลว สีเงิน วิเคราะห์ต่อ
“ตามปกติ ขึ้นศาลยังต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ดูเพียงหน้าว่า “เชื่อถือได้” แล้วให้ประกัน ไม่มีหรอกครับ ดูอย่างทักษิณ-พจมานซิ เกียรติยศคับประเทศ ขนาดมีเงินค้ำประกัน ... ยังหนี แล้วนี่เหมือนกัน เพียงหน้าประธานชัย หน้านายกฯ สมชาย ซึ่งหน้าในมี “หน้ากากทักษิณ” อยู่อีกชั้นแท้ๆ ใช้เพียงเกียรติยศค้ำประกันว่า “ตั้ง ส.ส.ร.3” ไม่มีสอดไส้ … จ้างใครก็ไม่เชื่อ!?”
อีกประเด็นหนึ่งที่ เปลว สีเงิน เห็นว่าเป็นจุดบกพร่องของ การตั้ง ส.ส.ร. ก็คือ ไม่ทันการแก้วิกฤตการเมือง เพราะต้องใช้เวลาในการร่างรัฐธรรมนูญยาวนานราว 1-2 ปี นอกจากนี้การได้มาซึ่ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ก็ติดอยู่ในกรอบการควบคุมของรัฐบาลและรัฐสภาที่ไร้ความชอบธรรม
“ทำไป-ทำมา มันก็แค่โยนกระดูกหลอกให้หมาแทะ แล้วรัฐบาลก็ทอดน่องย่องเบาประเทศไปได้เรื่อยๆ แค่ 1 ปีก็เกินคุ้ม สรุปก็คือ สภา ส.ส.ร.ตามมติที่ประชุม 4 ฝ่าย ฟังดูง่าย แต่ความเป็นไปได้ ...ไม่มีเลย! ขี้กองอยู่ในบ้านแท้ๆ ทำไมรัฐบาล หรือที่ประชุม 4 ฝ่ายไม่คิดล้าง-เช็ดให้เสร็จ ก่อนที่จะย่ำเข้าไปในบ้านล่ะครับ?”
“การชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่ยึดทำเนียบรัฐบาลเป็น “บ้านทรายทอง” นั่นน่ะ นายสมชายทำไมไม่ไปพูดจาทำความตกลงกันให้เสร็จๆ ไปล่ะครับ เอาความเป็นปกติคืนให้สังคมบ้านเมืองก่อนแล้วค่อยไปคิดเรื่องตั้ง ส.ส.ร.! มีปัญหาคาอยู่ที่หนึ่ง แล้วดันไปตั้ง ส.ส.ร. ก่อปัญหาใหม่ขึ้นอีกที่ อย่างนี้มันเหมือนสุมไฟ 4 มุมเมือง” เจ้าของคอลัมน์คนปลายซอยกล่าว
ทั้งนี้เขาได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ประเด็นตั้ง “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” นั้น ไม่มีฝ่ายไหนปฏิเสธหรอกครับ แต่นั่นมันต้องผ่านขั้นตอน 1-2-3 คือการพูดจาแต่ละฝ่ายให้ได้ข้อสรุป และพอเห็นตัวหัวหน้าฝ่ายทำคลอดก่อน แต่นี่ ... 4 ฝ่ายจะทำคลอดแบบ “เอาเท้าออกก่อน” อย่างนี้ตายมากกว่ารอดและยิ่งเกิด “เงื่อนไขใหม่” เรื่องที่คิดว่าง่าย สะสมไปสู่จุด “อันตราย” แล้วครับ”