นายกสมาคมข้าราชการพลเรือน แค้นถูก “ครม.หมัก” เด้งฟ้าผ่าจากรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเข้ากรุผู้ตรวจมหาดไทยไปนั่งตบยุงเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์คลองหลอด เตรียมฟ้องศาลปกครอง
วานนี้ (1 ต.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ที่กระทรวงมหาดไทย นายจาดุร อภิชาติบุตร อดีตรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแ ละนายกสมาคมข้าราชการพลเรือนแห่งประเทศไทย ซึ่งถูกคณะรัฐมนตรีสมัยนายสมัคร สุนทรเวช เด้งฟ้าผ่าจากรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเข้ากรุมาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยตามมติ ครม.เมื่อ 2 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นตำแหน่งซึ่งไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ ได้เดินทางมารายงานตัวต่อกองการเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย เป็นวันแรก แต่เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมมีผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยเกษียณและตำแหน่งว่างอยู่อีกถึง 6 คนจึงทำให้ยังไม่มีการมอบหมายภารกิจใดๆ ให้กับนายจาดุร เพราะต้องรอการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับ 10 ของกระทรวงมหาดไทยล็อตใหญ่เกือบ 40 ตำแหน่งอันรวมตำแหน่งผู้ตรวจกระทรวงด้วย 6 ตำแหน่งในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ก่อน
นายจาดุร ให้สัมภาษณ์ระบุชัดว่า เขาจะทำการยื่นฟ้องผู้เกี่ยวข้องกับการออกมติคณะรัฐมนตรีย้ายฟ้าผ่าจากรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยต่อศาลปกครองแน่นอนในเร็วๆ นี้ หลังจากได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์มติคณะรัฐมนตรีที่โยกย้ายตนเองมาเป็นผู้ตรวจฯต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนไปแล้ว โดยขั้นตอนขณะนี้ทราบว่ากรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของ ก.พ.กำลังดูคำร้องอยู่ ซึ่งสาเหตุที่ยื่นอุทธรณ์รวมถึงจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองก็เพราะเห็นว่ามติ ครม.ดังกล่าวกระทำการอย่างมีพิรุธ ขาดความเป็นธรรม ลุกลี้ลุกลนและมีเจตนาไม่ดี ทำให้ระบบพิทักษ์คุณธรรมของข้าราชการไทยถูกทำลายและต้องการฟ้องเพื่อให้เป็นแบบอย่างต่อฝ่ายการเมืองในการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม อันทำให้ระบบพิทักษ์คุณธรรมของข้าราชการและฝ่ายการเมืองถูกทำลาย
นายกสมาคมข้าราชการพลเรือนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เข้าใจว่าทาง ก.พ.คงไม่รอช้าในการพิจารณาคำร้องอุทธรณ์ครั้งนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการที่มีคนเสนอเรื่องย้ายแบบรีบเร่งรีบร้อนเช่นนี้ต้องป้องกันไว้แล้วว่าจะไม่ให้ถูกฟ้องกลับจึงมีการพลิกข้อกฎหมายมาเป็นอย่างดีจนนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ด้วยการเปิดข้อกฎหมายป้องกันเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะเห็นได้จากการทำหนังสือขอโอนตัวกันระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีกับสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอตัวตนไปช่วยงานที่สำนักงานผู้ตรวจราชการกระทรวงแล้วอ้างในหนังสือส่งตัวว่าเนื่องจากเป็นผู้มีความรู้ความสามารถจึงมีความเหมาะสม แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าตำแหน่งผู้ตรวจฯนั้นเป็นตำแหน่งที่ไม่มีข้าราชการคนไหนอยากไปเป็น เพราะผู้ว่าราชการจังหวัดพอรู้ข่าวว่าจะถูกเด้งมาเป็นผู้ตรวจก็ผวากันหมดแล้ว จึงไม่มีเหตุผลเลยที่ย้ายตนมาเป็นผู้ตรวจฯข้ามกระทรวงแบบนี้ซึ่งถือเป็นคนแรกที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งตำแหน่งผู้ตรวจฯมหาดไทยก็ว่างอยู่หลายตำแหน่งแต่ตอนทำเรื่องเข้า ครม.บอกว่ามีตำแหน่งว่างอยู่พอดีเหมือนกับว่ามีว่างอยู่ตำแหน่งเดียว เวลานี้จึงรอผลการพิจารณาของ ก.พ.ก่อนหากผลออกมาแล้วไม่พอใจก็ฟ้องศาลแน่นอนแต่ดูแล้วเรื่องคงต้องไปที่ศาลปกครอง
“ผมไม่ยอมแน่นอน เรื่องนี้ต้องถึงศาลแน่ให้ไปเจอที่ศาล ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาย้ายผมเรื่องอะไร แล้วมันไม่มีเหตุผลในการย้ายเลย ครม.ทำไม่ถูก กรณีของผมข้าราชการทั่วประเทศเขาติดใจกันมาก หากผมไม่ต่อสู้เท่ากับว่าผมยอมรับกับคำสั่งนี้แต่ผมไม่ยอม ผมต้องการพิทักษ์ระบบคุณธรรม เพราะการสั่งย้ายผม ครม.ทั้งคณะย้ายแบบไม่ใช้ดุลพินิจ ไม่ใส่ใจความถูกต้อง ไม่เคยมีมาก่อนเอาชื่อผมย้ายออกไปเข้า ครม.คนเดียว ทั้งที่ยังไม่ถึงช่วงโยกย้าย จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนทำคำสั่งนี้” นายจาดุร กล่าว
วานนี้ (1 ต.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ที่กระทรวงมหาดไทย นายจาดุร อภิชาติบุตร อดีตรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแ ละนายกสมาคมข้าราชการพลเรือนแห่งประเทศไทย ซึ่งถูกคณะรัฐมนตรีสมัยนายสมัคร สุนทรเวช เด้งฟ้าผ่าจากรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเข้ากรุมาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยตามมติ ครม.เมื่อ 2 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นตำแหน่งซึ่งไม่มีอำนาจหน้าที่ใดๆ ได้เดินทางมารายงานตัวต่อกองการเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย เป็นวันแรก แต่เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมมีผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยเกษียณและตำแหน่งว่างอยู่อีกถึง 6 คนจึงทำให้ยังไม่มีการมอบหมายภารกิจใดๆ ให้กับนายจาดุร เพราะต้องรอการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับ 10 ของกระทรวงมหาดไทยล็อตใหญ่เกือบ 40 ตำแหน่งอันรวมตำแหน่งผู้ตรวจกระทรวงด้วย 6 ตำแหน่งในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ก่อน
นายจาดุร ให้สัมภาษณ์ระบุชัดว่า เขาจะทำการยื่นฟ้องผู้เกี่ยวข้องกับการออกมติคณะรัฐมนตรีย้ายฟ้าผ่าจากรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมาเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยต่อศาลปกครองแน่นอนในเร็วๆ นี้ หลังจากได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์มติคณะรัฐมนตรีที่โยกย้ายตนเองมาเป็นผู้ตรวจฯต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนไปแล้ว โดยขั้นตอนขณะนี้ทราบว่ากรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของ ก.พ.กำลังดูคำร้องอยู่ ซึ่งสาเหตุที่ยื่นอุทธรณ์รวมถึงจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองก็เพราะเห็นว่ามติ ครม.ดังกล่าวกระทำการอย่างมีพิรุธ ขาดความเป็นธรรม ลุกลี้ลุกลนและมีเจตนาไม่ดี ทำให้ระบบพิทักษ์คุณธรรมของข้าราชการไทยถูกทำลายและต้องการฟ้องเพื่อให้เป็นแบบอย่างต่อฝ่ายการเมืองในการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม อันทำให้ระบบพิทักษ์คุณธรรมของข้าราชการและฝ่ายการเมืองถูกทำลาย
นายกสมาคมข้าราชการพลเรือนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เข้าใจว่าทาง ก.พ.คงไม่รอช้าในการพิจารณาคำร้องอุทธรณ์ครั้งนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการที่มีคนเสนอเรื่องย้ายแบบรีบเร่งรีบร้อนเช่นนี้ต้องป้องกันไว้แล้วว่าจะไม่ให้ถูกฟ้องกลับจึงมีการพลิกข้อกฎหมายมาเป็นอย่างดีจนนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ด้วยการเปิดข้อกฎหมายป้องกันเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะเห็นได้จากการทำหนังสือขอโอนตัวกันระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีกับสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอตัวตนไปช่วยงานที่สำนักงานผู้ตรวจราชการกระทรวงแล้วอ้างในหนังสือส่งตัวว่าเนื่องจากเป็นผู้มีความรู้ความสามารถจึงมีความเหมาะสม แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าตำแหน่งผู้ตรวจฯนั้นเป็นตำแหน่งที่ไม่มีข้าราชการคนไหนอยากไปเป็น เพราะผู้ว่าราชการจังหวัดพอรู้ข่าวว่าจะถูกเด้งมาเป็นผู้ตรวจก็ผวากันหมดแล้ว จึงไม่มีเหตุผลเลยที่ย้ายตนมาเป็นผู้ตรวจฯข้ามกระทรวงแบบนี้ซึ่งถือเป็นคนแรกที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งตำแหน่งผู้ตรวจฯมหาดไทยก็ว่างอยู่หลายตำแหน่งแต่ตอนทำเรื่องเข้า ครม.บอกว่ามีตำแหน่งว่างอยู่พอดีเหมือนกับว่ามีว่างอยู่ตำแหน่งเดียว เวลานี้จึงรอผลการพิจารณาของ ก.พ.ก่อนหากผลออกมาแล้วไม่พอใจก็ฟ้องศาลแน่นอนแต่ดูแล้วเรื่องคงต้องไปที่ศาลปกครอง
“ผมไม่ยอมแน่นอน เรื่องนี้ต้องถึงศาลแน่ให้ไปเจอที่ศาล ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาย้ายผมเรื่องอะไร แล้วมันไม่มีเหตุผลในการย้ายเลย ครม.ทำไม่ถูก กรณีของผมข้าราชการทั่วประเทศเขาติดใจกันมาก หากผมไม่ต่อสู้เท่ากับว่าผมยอมรับกับคำสั่งนี้แต่ผมไม่ยอม ผมต้องการพิทักษ์ระบบคุณธรรม เพราะการสั่งย้ายผม ครม.ทั้งคณะย้ายแบบไม่ใช้ดุลพินิจ ไม่ใส่ใจความถูกต้อง ไม่เคยมีมาก่อนเอาชื่อผมย้ายออกไปเข้า ครม.คนเดียว ทั้งที่ยังไม่ถึงช่วงโยกย้าย จนถึงวันนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนทำคำสั่งนี้” นายจาดุร กล่าว
