“สมเกียรติ” ฉีกหน้ากาก “สมชาย” ติดสินบน “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” ช่วย “แม้ว” คดีซุกหุ้น 1 ยันมีหลักฐานมัดแน่น ก่อนทวงถาม “เยาวภา” เป็นภรรยาผู้พิพากษาแล้วเข้าไปก้าวก่ายวิ่งล็อบบี้ศาลได้อย่างไร พร้อมฝาก “ประมวลจริยธรรม” กระตุกต่อมสำนึกผิด “นายกฯ”
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ปราศรัย
วานนี้ (30 ก.ย.) เมื่อเวลา 21.10 น. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดที่ 3 ว่า รัฐบาลกำลังสุมหัวกันว่า จะทำอย่างไรที่จะให้สังคมกดดันพันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบรัฐบาลได้อย่างไร นอกจากนี้ยังมีสื่อมวลชนไม่ต่ำกว่า 5 ฉบับ ได้เร่งเร้า เรียกร้อง และด่าเราให้ออกจากทำเนียบ เนื่องจากทำเนียบเป็นทรัพย์สมบัติที่เขาอนุรักษ์ไว้ให้กับโจรโกงชาติเข้ามาโดยไว ดังนั้น เราจึงไม่สนใจต่อสื่อดังกล่าว เพราะเขาเป็นพวกที่ใครชนะ ก็เข้าข้างฝ่ายนั้น
“เราตกลงกันว่า ถ้าเราทำตามข้อเรียกร้องตามอุบายของรัฐบาลชาติสุนัข เราก็ไม่สามารถที่จะรองรับกระแสสูงของสังคมได้ เพราะไม่มีครั้งใดในประวัติศาสตร์ กระแสของสังคมจะสูงมากขนาดนี้ ยังจำได้หรือไม่ว่าสังคมไทยยังมี ซ้าย ขวา และกลาง โดยในช่วงเมื่อปลายปี พ.ศ.2548 จึงเกิดปรากฏการณ์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และมีพันธมิตรฯ จากนั้นทหารได้ทำการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 โดยตั้งคนเป็นกลางมาเป็นนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ และรัฐมนตรีทั้งหมด แล้วเป็นอย่างไรกับคนที่เป็นกลางว่าเป็นอย่างไร โดยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นั้น รัฐมนตรีแต่ละคนไม่เคยร่วมทุกข์ ร่วมสุข มีแต่จ้องจะมาปกครองประเทศแทน” นายสมเกียรติ กล่าว
ขณะนี้มีคนกลางที่เสนอทางออกให้สังคม ถามว่าพันธมิตรฯ ต่อสู้มาเกือบตาย แล้วจะให้เราทำอย่างไร เพราะคนเป็นกลางที่จะเข้ามาปฏิรูปการเมืองนั้น ส่วนใหญ่ไม่เป็นกลางเนื่องจากเข้าข้างพันธมิตรฯ แต่อีกคนหนึ่งอยู่กับ นปก. แล้วคนเป็นกลางอยู่ตรงไหน นี่คือกระแสสังคมที่มีฝ่ายเรียกร้องให้เราออกจากวงการต่อสู้ แต่เราไม่ยอม เพราะสังคมไทยกำลังจะก้าวไปสู่การฝังกลบระบอบทักษิณ และนอมินี
วันนี้มีการไปแจ้งความจับนายกฯ ในข้อหาติดสินบนตุลาการ เราจึงไปค้นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ เคยกล่าวไว้ในปี 2547 ว่า นายสมชาย ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีนายบัณฑิต สิริพันธ์ ทนายความ ซึ่งเบิกความในคดีศาลรัฐธรรมนูญที่กล่าวหานางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ไปพบนายอุระ หวังอ้อมกลาง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายสมชายยอมรับว่ารู้จักกับนายอุระมานานแล้ว และไม่ได้รู้จักเฉพาะนายอุระ คนเดียวเท่านั้น แต่ยังรู้จักกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งคณะ เพราะส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ในสมัยที่ตนเป็นผู้พิพากษา และเป็นตุลาการที่ผู้พิพากษาให้ความนับถือ สำหรับความสนิทสนมส่วนตัวกับนายอุระ นั้น ไม่มี
ส่วนประโยคที่สำคัญของนายสมชายนั้น นายสมเกียรติ เปิดเผยว่า นายสมชายยืนยันว่าไม่เคยล็อบบี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใด ให้ช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยเฉพาะนายอุระ โดยเฉพาะคำพูดดังกล่าวซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 15 ต.ค.2547 ซึ่งมีข้อจับเท็จนายสมชาย คือ “ตนเป็นผู้พิพากษามานาน และนางเยาวภา ก็เป็นภรรยาผู้พิพากษามานานเช่นกัน รู้ดีว่าการตัดสินต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่เคยคิดจะนำใครไปล็อบบี้ ผมกับนางเยาวภา ไม่ทำเรื่องอย่างนี้อย่างแน่นอน” โดยหัวข่าวในวันนั้นคือ สมชาย-เยาวภา ปัดล็อบบี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ให้พ้นจากคดีซุกหุ้น 1 และระบุว่าไปพบนายอุระ จริง
“ส่วนนายอุระระบุว่านางเบาภาไม่ได้มาคนเดียว เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มาล็อบบี้ด้วย โดยนายอุระ ให้การต่อศาลด้วยว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า พี่ ขอผม 1 เสียงนะ ส่วนลูกของพี่ที่ทำงานอยู่กระทรวงต่างประเทศนั้น จะย้ายไปประเทศไหนให้บอกมา หรือจะลาออกมาเล่นการเมืองโดยลงสมัครระบบปาร์ตี้ลิสของพรรคไทยรักไทยก็ยินดี” และนี่คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ขอให้ตุลาการช่วยเหลือคดีตนเอง ฉะนั้นเราจึงควรเน้นไปที่คำพูดของนายสมชาย ที่ว่า “ผมเป็นผู้พิพากษาไม่ทำเรื่องแบบนี้แน่นอน” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า นายอุระยังเล่าให้ฟังอีกว่า นางเยาวภามาพบนายอุระ 3 ครั้ง โดยครั้งหลังสุดยังได้พูดขอคะแนนจากนายอุระ อีกทั้งยังอ้างว่า ได้ไปพบกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 คน คือ นายกระมล ทองธรรมชาติ นายผัน จันทรปาน นายศักดิ์ เตชาชาญ โดยนางเยาวภา ได้ขอให้นายอุระ ช่วยออกอีก 1 เสียง ท้ายที่สุดศาลเชื่อคำเบิกความของประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 และนายอุระ
“ผมเปิดดูข่าวผู้พิพากษาอัดกันเองระหว่าง ผู้พิพากษาคนที่ 1 อัดคนที่ 2 ส่วนคนที่ 2 อัดกลับคนที่ 1 บอกว่า จะผิดประมวลจริยธรรมข้าราชการตุลาการ ผมจึงขอฝากประมวลจริยธรรมข้อที่ 38 คือ ผู้พิพากษา จะต้องไม่ยินยอมให้บุคคลในครอบครัว ก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ของตน และผู้อื่น และจะต้องไม่ยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งของตนใช้ประโยชน์โดยมิชอบ ถามว่าเป็นเมียปลัดยุติธรรม แล้วไปก้าวก่ายทำซากอะไร ส่วนกฎหมายที่จะเข้าไปจัดการ คือ ประมวลกฎอาญา หมายมาตรา 116 ระบุว่า ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ เพื่อจูงใจให้กระทำการ หรือไม่กระทำการ หรือเพื่อประวิงเวลาใดๆ มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ฉะนั้นที่นายวีระ สมความคิด ไปแจ้งความ หมายถึงเรื่องราวที่กล่าวมาทั้งหมด” แกนนำพันธมิตรฯ ระบุ