“จำลอง” ชี้พี่น้องพันธมิตรฯ ตามขับไล่รัฐมนตรี เป็นสิทธิแสดงออก สะท้อนความต้องการได้นักการเมืองแบบใหม่ ชี้เหตุไทยตามหลังเกาหลีใต้ เพราะการพัฒนาผู้นำล้าหลัง การเมืองระบบเก่าไม่สามารถพัฒนาไปสู่ยุค “พระศรีอาริย์” ที่ปราศจากนักการเมืองฉ้อโกง ทำให้อยู่ได้แค่ยุค “ภาษีอาน” เท่านั้น
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พลตรีจำลอง ศรีเมือง ปราศรัย
วันนี้ (28 ก.ย.) เวลาประมาณ 21.15 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีทำเนียบรัฐบาลว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่ารัฐบาลชุดนี้กลัวพันธมิตรฯ เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็เจอพี่น้องพันธมิตรฯ ขับไล่ ซึ่งมาจากความแน่วแน่ของเราที่ต้องการบอกว่าอยากให้นักการเมืองของเราเป็นอย่างไร ด้วยการใช้สิทธิ ซึ่งพี่น้องพันธมิตรของเราแสดงออกอย่างกล้าหาญ และอย่าลืมความตั้งใจของเราในการมาชุมนุมในครั้งนี้ว่า เรามาทำหน้าที่ใช้หนี้แผ่นดิน และเรามาทำบุญ มาในฐานะดารารับชิญ
“นอกจากนี้ พี่น้องพันธมิตรฯ หลายท่านยังได้ช่วยทำบุญด้วยการบริจาคเงินเข้ามาเยอะทีเดียว ซึ่งถือเป็นการทำบุญจริงๆ และเมื่อผมเห็นว่าเอเอสทีวี สิ้นเดือนนี้จะมีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินเดือนพนักงาน ก็เลยขออีกครั้ง ปราฏกว่าหลายคนเห็นว่าเป็นการทำบุญ และบริจาคเงินเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งพันธมิตรบางคนมีจดหมายส่งมาพร้อมกับเงิน และหลายคนบอกว่าต้องการทำบุญเนื่องในวันเกิด ซึ่งถือว่าเป็นการทำบุญจริงๆ และนอกจากจะบริจาคผ่านผมแล้ว หลายคนยังบริจาคเดือนละ 200 บาท ผ่านระบบมือถือ ซึ่งหลายคนใครที่อยากบริจาคแต่ไม่มีมือถือ ก็บริจาคมาได้เลย 12 เดือน 2,400 บาท ซึ่งเรื่องนี้เราไม่ได้ผูกขาดว่าจะต้องจ่ายเรื่อยๆ ไป เพราะเมื่อใดก็ตามถ้าเอเอสทีวีไม่มีอุดมการณ์ ก็ตัดไปโดยไม่จ่ายเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดรับบริจาคผ่านตู้ไปรษณีย์ 100 มาแล้ว 2 ครั้ง หลังจากนี้ ผมจะยกให้กับเอเอสทีวีไปจัดการเอง
ท่านเจ้าของเอเอสทีวีทุกท่าน ไม่ว่าอยู่ที่นี่ ต่างจังหวัด หรือในต่างประเทศ ผมเห็นใจคนที่บริจาคมาแล้ว ท่านที่เคยช่วยก็ขอให้น้อยลงไปหน่อย แล้วก็เป็นเช่นนั้น เพราะมีเงินที่บริจาคเข้ามาตั้งแต่ 100 บาท ถึง 2 แสนบาท ปรากฏว่าได้เงินเดือนนี้ เราสามารถจ่ายเงินเดือนให้เอเอสทีวีได้ตามปกติ โดยมีจำนวนเงินบริจาคทั้งหมดเข้ามาสั้งสิ้น 4.53 ล้านบาท” พล.ต.จำลองกล่าว
พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า วานนี้ (27 ก.ย.) นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้พูดถึงยุคพระศรีอาริย์ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าโยงไปสู่การเมืองใหม่เช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับโรงเรียนผู้นำที่มีมา 22 ปี ที่เราเน้นการสร้างคนให้ดีอยู่แล้วดียิ่งขึ้นไปสู่ยุคพระศรีอาริย์ โดยระยะเวลาประมาณ 22 ปีที่ผ่านมา เราสามารถสร้างคนได้ได้ 5.8 หมื่นคน ซึ่งเทียบกับประเทศเกาหลีใต้ ที่มีโรงเรียนผู้นำมาแล้ว 44 ปี สามารถสร้างผู้นำได้แล้วถึง 6.5 แสนคน ด้วยความล้าหลังนี้เอง ทำให้เราแพ้เกาหลีใต้ทุกอย่าง นั่นเพราะคนของเราไม่ได้รับการพัฒนา โดยเฉพาะการเมืองที่ยังเป็นการเมืองเก่า นักการเมืองระบบเก่า ดังนั้น จึงไปสู่ยุคพระศรีอาริย์ไม่ได้ อยู่ได้แค่ยุคภาษีอานเท่านั้น เพราะยังอยู่การเมืองยุคเก่า
นอกจากนี้ การที่ นพ.ประเวศ วะสี พูดถึงเรื่องการเมืองใหม่ ยังบอกด้วยว่า อารยะประชาธิปไตย เห็นว่ามหาประชาชนได้ลุกขึ้นมาแล้ว สามารถไปถึงการเมืองใหม่ได้ เมื่อมีอารยะประชาชนและอารยะประชาธิปไตยแล้ว เราก็อยู่กันอย่างผาสุก นั่นคือ ยุคพระศรีอาริย์ ซึ่งสำเร็จได้ด้วยการเมืองใหม่ ทุกคนอยู่ได้โดยไม่มีนักการเมืองฉ้อโกง การเอารัดเอาเปรียบ ดังนั้น ขอให้พี่น้องตั้งใจเรื่องการเมืองใหม่ เพราะสำเร็จได้แน่นอน