โฆษกชั่วคราว แถลงการณ์เจื้อยแจ้วไม่รู้สึกเสียหน้า ครม.ไม่ได้จัดประชุมทำเนียบ ปิ๊งไอเดียตั้ง “จิ๋ว” คุมงานน้ำท่วม พร้อมกางปฏิทินแถลงนโยบาย 8-9 ต.ค. เลื่อนแต่งตั้งทีมโฆษกฯ-เลขานายกฯ อ้างติดข้อกฎหมาย
วันนี้ (26 ก.ย.) นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อที่ประชุมว่า วันนี้เป็นการประชุม ครม.ครั้งแรกของ ครม.ชุดที่ 58 ของประเทศไทย ถึงแม้ว่าพวกเราไม่ได้ประชุม ณ ที่ประชุมของ ครม.เหมือน ครม.ชุดอื่นๆ ก็ตาม แต่ด้วยความมุ่งมั่นในการรับใช้ประเทศชาติบ้านเมือง พวกเราก็ยินดี เต็มใจเสียสละ อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีโอกาสทำพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งคำถวายสัตย์ฯ มีอยู่ 3 ประการ โดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำให้ ครม.ทุกคนน้อมรับพระราชดำรัสนั้นมาเป็นแนวทางและหลักชัยในการบริหารราชการแผ่นดิน
นายสุขุมพงศ์ กล่าวอีกว่า นายกฯ ได้เรียนให้ทราบว่าการบริหารราชการแผ่นดินในช่วงนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เป็นวิกฤตการณ์ทางการเมือง ทางสังคมและเศรษฐกิจขอให้ทุกคนทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ และทำงานด้วยความซื่อสัตย์และนึกถึงประโยชน์ของประเทศชาติเท่านั้น ทั้งนี้ สิ่งที่ ครม.ต้องตระหนักอีกเรื่องก็คือ เราจะมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ในระยะเวลาอันใกล้นี้ 14-16 พ.ย. โดยพิธีต่างๆ ก็ได้เริ่มขึ้นแล้วต้องดำเนินการต่อไป ซึ่ง ครม.ก็ให้ความสำคัญกับพิธีนี้และจะขอติดตามควบคุมเพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติของพระองค์ท่าน
รมต.สำนักนายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องสุดท้าย คือ การปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญปี 50 ที่มีบทบัญญัติในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเคร่งครัด จริงจังและเกิดผลในปฏิบัติหลายเรื่อง ทำให้นายกฯ และรัฐมนตรีพ้นสมาชิกภาพพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว รวมทั้งยังมีเรื่องค้างอยู่ที่ กกต.และป.ป.ช.หรือศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผลจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่เคร่งครัดและบางเรื่องก็ยังสับสนและยากต่อการปฏิบัติ ฉะนั้น นายกฯ ขอร้องให้ ครม.ทุกคนระมัดระวังเรื่องคุณสมบัติ การมีลักษณะต้องห้าม และทำการใดไม่ทำการอันเป็นการขัดผลประโยชน์ส่วนตัวกับส่วนรวม ตลอดจนไม่กระทำการที่ต้องห้ามทั้งหลาย และไม่แทรกแซงการบริหารหน่วยงานอื่น รวมทั้งการแทรกแซงสื่อต่างๆ การเข้าไปดำรงตำแหน่งในนิติบุคคลหรือเป็นลูกจ้างของผู้ใดและต้องไม่ถือหุ้นเกิน 5% อันนี้ก็กำชับให้ทำอย่างเคร่งครัด โดยนายกฯให้ รมต.ให้เตรียมยื่นบัญชีทรัพย์สินภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันทีเข้าถวายสัตย์ โดยสัปดาห์หน้าตัวแทนจาก ป.ป.ช.จะเข้ามาชี้แจ้งข้อข้องใจ ขอให้ รมต.ทุกคนไปศึกษาและหากสงสัยก็ให้ถามให้หมด
นายสุขุมพงศ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องด่วนที่จำเป็นจะต้องปฏิบัติหน้าที่ไปก่อน เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ครม.จะบริหารราชการแผ่นดินได้ต้องแถลงนโยบายภายใน 15 วัน นับแต่วันเข้ารับหน้าที่ ปรากฏว่า วันสุดท้ายที่จะแถลงนโยบายคือวันที่ 9 ต.ค. แต่ในเบื้องต้นครม.เห็นว่าให้กำหนดเป็นเบื้องต้นได้จะกำหนดแถลงนโยบายในวันที่ 8-9 ต.ค. (พุธ-พฤหัสฯ) ส่วนจะเสร็จหรือไม่ก็อยู่ที่สภาผู้แทนฯ และสมาชิกวุฒิสภาจะพิจารณาร่วมกัน ดังนั้น เมื่อยังไม่แถลงก็ทำงานได้ แต่ในกรณีเร่งด่วน จำเป็น หรือถ้าไม่ดำเนินการประเทศชาติเสียหาย ดังนั้นขณะนี้มีเรื่องเร่งด่วน 3 เรื่องคือ เรื่องแรก คือ อีก 3 วันจะสิ้นปีงบประมาณปี 51 ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการใช้เงิน และขอขยายเวลาในการใช้เงิน หรือกันเงินไว้ใช้เหลื่อมปี ดังนั้นถ้าอีก 3 วันยังใช้เงินในการบริหารราชการแผ่นดินไม่ทันก็สามารถให้ ครม.ขยายเวลาเพื่อใช้ในปีต่อไป ซึ่งอันนี้ทุกรัฐบาลก็ทำเหมือนกันหากมีความจำเป็นเร่งด่วน
นายสุขุมพงศ์ กล่าวอีกว่า เรื่องเร่งด่วนที่สอง คือ ประเทศไทยจะต้องมีตัวแทนประเทศไปประชุมที่องค์การสหประชาชาติในปลายเดือนนี้ ซึ่งรัฐบาลที่แล้วนายกฯ จะไปด้วยตัวเอง แต่ครั้งนี้ ครม.ได้มอบหมายให้นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศไปเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยในการดำเนินภารกิจสำคัญนี้ ซึ่งถ้าเว้นไปก็จะเป็นผลเสียกับประเทศชาติ ส่วนเรื่องเร่งด่วนที่ 3 คือ สภาวะน้ำท่วมที่มีการเปลี่ยนแปลงอากาศไปมาก มีมรสุมมาก น้ำท่วมทั่วประเทศไทย สร้างความลำบากให้ประชาชน นายกรัฐมนตรีจึงได้แต่งตั้งคณะทำงานน้ำท่วม โดยมีกระทรวงที่เกี่ยวข้อง 7-8 กระทรวงเป็นคณะกรรมการในการแก้ไขปัญหานี้ โดยมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการชุดนี้ เป็นแม่งานในการปัดเป่าปัญหาและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการไปก่อนแถลงนโยบายซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
นายสุขุมพงศ์ กล่าวอีกว่า เรื่องการจัดทำนโยบาย โดยวันสุดท้ายคือวันที่ 9 ต.ค. ซึ่งฝ่ายเลขาฯคณะจัดทำนโยบายล่วงหน้า คือ สภาพัฒน์ ได้จัดทำร่างแรกขึ้นมาแล้ว มี 3 ส่วน คือเรื่องทั่วไปในการบริหารราชการแผ่นดิน เรื่องเร่งด่วนจำเป็นประมาณ 15 เรื่อง และนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ 8 เรื่องที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งวันนี้เวลา 14.00 น. ตนก็จะไปร่วมประชุมกับคณะทำงานนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีตารางเวลา 4 วัน ซึ่งวันนี้จะตรวจทำความเข้าในร่างแรก ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์นี้กรรมการนำกลับไปดูหากเห็นว่าควรจะแก้ไขตรงจุดไหนก็แจ้งมาที่เลขาสภาพัฒน์ ก็จะแก้ไขครั้งแรกในวันจันทร์ และในอังคารก็จะเสนอร่างที่ 2 หลังจากแก้ไข้แล้วการประชุม ครม.ซึ่งจะเป็นการแก้ไขครั้งสุดท้าย และจากนั้นจะนำนำไปพิมพ์ในวันพุธ-พฤหัส และวันศุกร์ก็ส่งให้ทั้ง 2 สภาศึกษาล่วงหน้า 3 วัน และจะประชุมสภาในวันพุธที่ 8-9 ต.ค. เว้นแต่การพิจารณาจะไม่แล้วเสร็จก็อาจจะพิจารณาต่เอในวันต่อไป ซึ่งการแถลงนโยบายจะเสร็จสิ้นคือวันที่ท่านนายกฯ ได้อ่านนโยบายทุกหน้า ส่วนเรื่องการอภิปรายตั้งข้อสังเกตุเป็นเรื่องของสภา
รมต.สำนักนายกฯ กล่าวอีกว่า การแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำงานนั้น ครม.มอบหมายให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปตรวจสอบว่ามีคณะทำงานใดที่จำเป็นต้องอยู่ต่อไปและควรปรับปรุงอย่างไร ส่วนเรื่องสุดท้าย คือ เรื่องของการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าในส่วนของที่ปรึกษา เลขานุการของรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรียังไม่ได้มอบหมายให้รองนายกฯ ไปกำกับราชการในส่วนใดก็ให้รอไว้ก่อน และวันนี้โดยปกติจะมีการแต่งตั้งเลขาธิการนายกและโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เนื่องจากนายกฯ แจ้งว่าท่านได้คัดสรรคนที่จะมาดำรงบุคคลที่จะมาทำงานแล้ว แต่ยังขั้นตอนการดำเนินกานยังติดขัดข้อกฎหมายบางประการอยู่ จึงขอเลื่อนการตั้งโฆษกฯ เลขาธิการนายกฯ ออกไปก่อนไปเป็นสัปดาห์หน้า
นายสุขุมพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมหลังการแถลงถึงการแต่งตั้งทีมงานว่า สำหรับตนอยากได้คนที่มีความรู้ด้านกฎหมาย เพราะจะช่วยได้บ้าง แต่ทั้งนี้ก็คงแล้วแต่นายกฯ จะหารือกับเลขาธิการนายกฯว่าจะให้ใครมาทำหน้าที่ อย่างไรก็ตาม งานที่ตนจะดูแลเป็นส่วนนายชูศักดิ์ ศิรินิล ทั้งหมด