xs
xsm
sm
md
lg

อัยการสั่งไม่ฟ้องคู่กรณี “โชติศักดิ์กับเพื่อน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายโชติศักดิ์ อ่อนสูง เมื่อวันเดินทางไปรับทราบข้อหาที่สน.ปทุมวัน เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2551
ผู้จัดการออนไลน์ – อัยการสั่งไม่ฟ้อง “นวมินทร์ วิทยากุล” คู่กรณี “โชติศักดิ์-เพื่อน” หลังปาข้าวโพดคั่ว-กระดาษ พร้อมไล่ให้ออกจากโรงภาพยนตร์ หลังสาวกแอนตี้สถาบันนั่งเฉย เมื่อเพลงสรรเสริญฯ ขึ้นก่อนภาพยนตร์เริ่มเมื่อ 20 ก.ย.2551 ระบุ การที่ผู้ต้องหาพูดว่า “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ศาสนาไหนก็ตาม ทำไมไม่รักในหลวง เป็นคนไทยซะ ปล่าว ฝรั่งต่างชาติยังรู้จักยืน” ถือเป็นการตักเตือน เตือนสติ ให้รู้สำนึกมิใช่การเหยียดหยาม

จากกรณีที่เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2551 นายโชติศักดิ์ อ่อนสูง และนางสาวชุติมา เพ็ญภาค เข้าไปดูหนังที่ชั้น 9 เซ็นทรัลเวิลด์ รอบ 19.15 น.ทว่าเมื่อถึงเพลงสรรเสริญพระบารมี นายโชติศักดิ์และเพื่อนกลับจงใจไม่ยืนทำความเคารพ จน นายนวมินทร์ วิทยากุล อายุ 40 ปี ผู้เห็นเหตุการณ์ เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ให้ดำเนินคดีต่อ นายโชติศักดิ์ ฐานไม่ยืนตรงแสดงความเคารพในโรงภาพยนตร์ ระหว่างเพลงสรรเสริญพระบารมี ด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

ในทางกลับกันจากกรณีดังกล่าว นายโชติศักดิ์ และ นางสาวชุติมา ได้ฟ้อง นายนวมินทร์ วิทยกุล กลับด้วยในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ, ทำร้ายร่างกายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หมิ่นประมาทและดูหมิ่นซึ่งหน้า, ทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดฯ และทะเลาะกันอื้ออึงในที่สาธารณสถานฯ หลังจาก นายนวมินทร์ ขว้างปาข้าวโพดคั่วและกระดาษใส่ทั้งสอง เนื่องจากทั้งสองไม่ได้ยืนขึ้นเมื่อมีการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์

วานนี้ (21 ก.ย.) เว็บไซต์ประชาไท ได้รายงานข่าวว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา พนักงานอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง นายนวมินทร์ ในข้อหา ร่วมกันทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ, ทำร้ายร่างกายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หมิ่นประมาทและดูหมิ่นซึ่งหน้า, ทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดฯ และทะเลาะกันอื้ออึงในที่สาธารณสถานฯ

โดยคำวินิจฉัยระบุว่า การที่ผู้ต้องหาเพียงแต่ใช้กล่องข้าวโพดคั่ว และม้วนกระดาษขว้างไล่ผู้เสียหายทั้งสองนั้น แพทย์ลงความเห็นไม่พบบาดแผล จึงรับฟังได้ว่าผู้เสียหายทั้งสอง มิได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจแต่อย่างใด อีกทั้งผู้ต้องหาได้กระทำในขณะลืมตัวโกรธจัด และมิได้แสดงกริยาจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายทั้งสองอีก จึงเชื่อได้ว่า มิได้เจตนาร่วมกันกระทำความผิด

ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ทรัพย์ที่เสียหายมีราคาเล็กน้อย ซึ่งผู้เสียหายทั้งสองซื้อมาในราคาเพียง 119 บาท และเป็นทรัพย์ที่เหลือจากผู้เสียหายทั้งสองดื่มกินแล้ว และขณะเกิดเหตุ เกิดจากผู้ต้องหาร้องขอให้ผู้เสียหายทั้งสองแสดงความเคารพต่อองค์พระประมุขและสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีงามของสังคมไทยสืบมา จึงเชื่อว่าผู้ต้องหามิได้มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ดังกล่าว

ส่วนการที่ผู้ต้องหาใช้กระดาษขว้างมาทางผู้เสียหายแล้วพูดว่า “ออกไป” และการที่ผู้ชมคนอื่นอีกหลายคนโห่ร้องไล่ผู้เสียหายทั้งสองคนให้ออกจากโรงภาพยนตร์ไปนั้น ไม่เป็นการใช้คำพูดหรือกริยา หรือการแสดงออกใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาใช้กำลังให้ผู้เสียหายทั้งสองกลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้เสียหาย และไม่ได้มีการใช้กำลังประทุษร้าย ขณะบอกให้ผู้เสียหายทั้งสองออกไปจากโรงภาพยนตร์ด้วย ดังนั้น จึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันตั้งแต่ห้าคน ข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด จำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ของผู้ถูกข่มขืนใจ แต่อย่างใด

การที่ผู้ต้องหาพูดว่า “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ศาสนาไหนก็ตาม ทำไมไม่รักในหลวง เป็นคนไทยซะ ปล่าว ฝรั่งต่างชาติยังรู้จักยืน” เป็นการพูดว่ากล่าวตักเตือน เตือนสติ ให้ผู้เสียหายทั้งสองรู้สำนึกของการกระทำ มิได้เป็นถ้อยคำที่ด่าว่า ดูถูกเหยียดหยาม หรือทำให้เสียชื่อเสียง และมิได้ทำให้บุคคลที่รับฟังข้อความดังกล่าวรู้สึกเกลียดชังหรือดูหมิ่นผู้เสียทั้งสองแต่อย่างใด และการที่ผู้เสียหายที่ 1 หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นพูดคุยและยืนขวางการชมภาพยนตร์ของผู้อื่น แล้วผู้ต้องหาได้พูดว่า “คุณไม่มีมารยาท ใส่เสื้อบ้าอะไรก็ไม่รู้ ออกไปซะ” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน การกระทำของผู้เสียหายที่ 1 ดังกล่าวเป็นการขัดกับมารยาทในการชมภาพยนตร์ที่ห้ามให้พูดคุยโทรศัพท์มือถือ หรือก่อให้เกิดการรบกวนผู้ชมคนอื่น ข้อความดังกล่าวจึงเป็นเพียงข้อความที่แจ้งให้ผู้เสียหายที่ 1 ระงับการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนมารยาททางสังคม โดยไม่เป็นการด่าว่า ดูหมิ่น หรือทำให้เสียชื่อเสียงถูกลดคุณค่าแต่อย่างใด การพูดจาของผู้ต้องหาดังกล่าว ทั้งสองข้อความจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า

การที่ผู้ต้องหากับผู้เสียหายทั้งสองโต้ตอบกันไปมา เนื่องจากผู้ต้องหาต้องการให้ผู้เสียหายทั้งสองยืนแสดงความเคารพเพลงสรรเสริญเพลงพระบารมี แต่มิได้อยู่ในลักษณะการโต้เถียงทะเลาะด่ากัน จึงมีเพียงผู้ต้องหาที่พูดจาเพียงฝ่ายเดียวเพื่อให้ผู้เสียหายทั้งสองกระทำการดังกล่าวเป็นส่วนใหญ่ จึงถือไม่ได้ว่าผู้ต้องหากระทำความผิดฐานทะเลาะกันอื้ออึงในที่สาธารณะหรือกระทำให้เสียความสงบเรียบร้อยในที่สาธารณสถานแต่อย่างใด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ จากเว็บไซต์ประชาไท
กำลังโหลดความคิดเห็น