นายกฯ เข้าให้ปากคำคดี “ชิมไปบ่นไป” ตามคำร้องของวุฒิสมาชิก บิดเบือนต่อหน้าตุลาการ อ้างไม่ได้รับเงินเดือน แต่ได้รับค่าตอบแทนเป็นครั้งคราว จึงไม่ถือเป็นลูกจ้าง ตะแบงยันหลังรับตำแหน่งนายกฯ จัดรายการให้ฟรีๆ
วันนี้(8 ก.ย.)ที่ศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อเวลา 09.30 น.คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มี นายชัช ชลวร เป็นประธานได้ออกนั่งบัลลังก์ ไต่สวนพยานผู้ถูกร้องในคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนา ส.ว.สรรหาและคณะส.ว. รวมทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นพิธีกรดำเนินรายการ "ชิมไปบ่นไป" ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) และมาตรา 267 ประกอบ 182 วรรคสาม และมาตรา 91 โดยพยานผู้ถูกร้องมี 2 ปากคือ นายศักดิ์ชัย แก้วมณีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด และนายสมัคร
ทั้งนี้ นายสมัคร ได้ขึ้นให้การโดยระบุว่า ได้เริ่มทำรายการ ชิมไปบ่นไป ตั้งแต่ปี 2543 โดยบริษัท เฟซมีเดีย จำกัด ได้มาชวนให้เป็นพิธีกร หลังจากนั้นก็ทำมาตอลด จนกระทั่งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 6 ก.พ. 2551 และหลังจากนั้นก็ได้บันทึกเทปรายการดังกล่าว 2-3 ครั้ง ซึ่งการบันทึกเทปครั้งหนึ่งก็สามารถนำไปออกอากาศได้ 1 เดือน โดยตนไม่ได้เรียกร้องค่าตอบแทน และไม่ได้รับค่าตอบแทนแต่อย่างใด
นายสมัคร ให้การว่า ทางบริษัทได้จ่ายค่าน้ำมันและค่ากับข้าวให้กับคนขับรถของตน ซึ่งรายละเอียดนั้น เขาจะนำไปใช้จ่ายอย่างไรตนไม่ทราบ และหลังจากที่มีคนทักท้วงว่า อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ ตนก็ไม่ทำรายการดังกล่าวอีก โดยบอกให้รายการหาพิธีกรมาแทน แต่ที่ทำอยู่เพราะทนายบอกว่า เนื่องจากเป็นการรับจ้างไม่ใช่ลูกจ้าง จนกระทั่งมีข่าวลงตามหนังสือพิมพ์ ตนก็สั่งระงับการออกอากาศทันที รวมทั้งให้เก็บเทปบันทึกรายการ กลัวสถานีนำไปออกอากาศซ้ำอีก
นายสมัคร ได้กล่าวสาบานว่า "ถ้าผมผิดจริง อย่าให้ผมมีความเจริญ แต่ถ้าไม่ได้ทำผิด ก็ขอให้ผมได้รับความสุขความเจริญ"
เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างขึ้นให้การต่อศาลนั้นนายสมัคร ได้มีท่าทีในการตอบคำซักถามของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.ระบบสรรหา ผู้ที่ร้องเรียนเรื่องดังกล่าวอย่างแข็งกร้าว พร้อมกับได้ยอกย้อนตอบคำถามเป็นบางคำถามอย่างดุดัน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากนายสมัคร ให้การต่อผู้ร้องเสร็จสิ้นแล้ว ทางองค์คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ได้สอบถามในประเด็นที่ยังสงสัย เพื่อต้องการให้พยานยืนยัน หรือ ปฎิเสธ โดยศาลได้สอบถามนายสมัครว่า คนขับรถได้แจ้งพยานเกี่ยวกับเรื่องค่าตอบแทน หรือไม่ และคนขับรถได้นำเงินไปใช้ในเรื่องใดบ้าง นายสมัครตอบว่า ไม่ทราบและไม่รู้ว่านำไปใช้เรื่องใด โดยนายสมัครจะอธิบายเกี่ยวกับคนขับรถ ศาลได้ติงว่า ไม่จำเป็นต้องนำประเด็นข้อกฎหมาย มาหักล้างข้อเท็จจริง
นอกจากนั้น ระหว่างที่ศาลถาม และยังถามไม่จบ นายสมัคร พยายามพูดแทรกออกมา ศาลต้องติงว่า ขอให้ฟังคำถามให้จบก่อน ทำให้นายสมัคร ถึงกับแสดงอาการไม่พอใจ
ศาลได้ถามอีกว่า หลังเกิดเป็นคดีขึ้น พยาน(นายสมัคร)ได้ไปอัดเทปรายการที่บ้านของพยานและไม่ยอมให้สื่อมวลชนทำข่าว ใช่หรือไม่ นายสมัคร ตอบว่าใช่ โดยอ้างว่า ไม่ต้องการให้วุ่นวายและตัดเรื่องค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคนขับรถ โดยศาลถามว่า หลังจากอัดรายการที่บ้านแล้ว คนขับรถยังได้รับค่าตอบแทนอยู่หรือไม่ นายสมัคร ตอบว่า ใช่ เนื่องจากเป็นเรื่องที่คนขับรถต้องใช้จ่าย แต่ไม่เกี่ยวกับตน
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ศาลได้สอบถาม เกี่ยวกับพยานเอกสารที่ได้จากการถอดเทปรายการ สนทนาประสาสมัคร เพื่อให้พยานยืนยันว่า เป็นเอกสารที่ถูกต้องหรือไม่ พยานได้ถามศาลว่า แล้วมาเกี่ยวอะไรกับคดีนี้ ศาลแจ้งว่า เนื่องจาก พยานได้พูดเป็นข้อเท็จจริงในรายการเกี่ยวกับคดีนี้ไว้ จึงจำเป็นต้องนำมาประกอบการพิจารณา ทำให้นายสมัครทำเสียง อือ อือ และมีอาการไม่พอใจ
ศาลยังได้ถามถึงเรื่อง ภาพโลโก้ รูปผู้ชายที่มีลักษณะจมูกรูปชมพู่ โดยศาลถามว่า เป็นรูปของพยานใช่หรือไม่ นายสมัคร ตอบว่าใช่ และอธิบายว่า เป็นรูปของตนที่คนทั้งประเทศรับรู้มาตั้งหลายปีแล้ว
จนกระทั่งนายสมัครให้การเสร็จเมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. นายสมัคร ได้ขออนุญาตศาลออกจากห้องพิจารณาคดีเพื่อไปปฏิบัติภารกิจทันที และขึ้นรถออกไปจากศาลรัฐธรรมนูญอย่างรวดเร็ว