รายการ “สนทนาประสาสมัคร” วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน 2551 เวลา 08.30-09.30 น.ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ชี้แจงการประกาศภาวะฉุกเฉิน อ้างเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกัน พร้อมยืนยันไม่ได้แตกแยกกับทหาร โวยคนเป็นนายกฯ โดนไล่ แต่คนยึดทำเนียบกลับไม่โดนตำหนิ อ้างคนต้านแค่หยิบมือเดียว นศ.ออกมาแค่ส่วนน้อย ตะแบงเกาะเก้าอี้ต่อ อ้างเพื่อรักษาประชาธิปไตย แลเฝ้าดูสถาบัน ใส่ไฟพันธมิตรฯ จงรักภักดีผิดปกติ กล่าวหากักคนออกนอกทำเนียบ อ้างถ้าเป็นอเมริกาถูกยิงไปแล้ว
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "สนทนาประสาสมัคร"
“สวัสดีครับ ท่านผู้ชมที่เคารพ ท่านพี่น้องประชาชนชาวไทยทั่วประเทศที่นั่งฟังอยู่ นั่งดูอยู่นะครับ วันนี้อากาศที่กรุงเทพฯ มันครึ้มครับ พระอาทิตย์ไม่มี ฝนจะตกหรือไม่ยังไม่ทราบนะครับ แต่อากาศครึ้ม
อยากเรียนอย่างนี้ครับว่า ผมจำเป็นจะต้องเล่าเรื่องงานที่ผมรับผิดชอบอยู่ให้ท่านผู้ชม ผู้ฟัง ทั้งหลายได้ฟังก่อนนะครับ เมื่อวันศุกร์ผมมีเวลาเหลือ เพราะว่าความจริง 2 วัน 4-5 เนี่ยผมจะต้องอยู่ญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นรายการที่ พอคลายเรื่องที่จะต้องทำอะไรต่ออะไร ผมก็มีเวลาว่างวันนึง ผมก็ไปตรวจงาน สำคัญนะครับ เพราะเวลาก็ใกล้เข้ามาแล้ว คือ งานพระเมรุ งานออกพระเมรุที่ท้องสนามหลวง ก็ไป คราวนี้ก็ก้าวหน้าเยอะครับ ไม่ได้แวะไปดูนาน ก็ให้ไปเอาผ้าคลุมอะไรต่างๆ คุณอาวุธ เงินชูกลิ่น บอกว่า กลัวฝนไม่กลัว กลัวแดด บอกกระดาษสีที่ติดไว้ ผ้าทองย่นอะไรต่างๆ โอย โดนแดดเลียสี
งานน่ะเสร็จตั้งแต่ยอดลงมาเลยนะครับ เอาผ้าหุ้มยอดข้างบนไว้เลย ใส่โครงอะไรกันจะเสร็จ ข้างล่างก็ใกล้มากแล้วครับ คือ ตัวพระเมรุนี่นะครับ สุดท้ายยังเหลือตกแต่งเติม แล้วก็ประดับพวกผ้าสี กระจกสี อะไรต่างๆ ทุกอย่าง กระไดขึ้นทั้ง 4 ทาง เรียบร้อยหมดล่ะครับ รอบๆ นั้นก็ ที่เรียกว่าภูมิทัศน์ ก็ทรายเกลี่ยหมดเลย แล้วซีแพคก็ออกแบบกระเบื้องสี่เหลี่ยม หนา และหนัก ปูรอบหมดเลย คือหมายความว่า ฝนตกฝนอะไรก็จะไม่มีโคลนมีอะไรขึ้นมาเลอะเทอะเลย ต้นหมากรากไม้
รอบๆ พวกอาคารทั้งหมด พระที่นั่งทรงธรรม ก็หลังคามุงหลังคาเปลี่ยนจากสมัยสมเด็จพระศรีฯ ไปเล็กน้อย แล้วก็ดูเสามีอะไรต่างๆ ก็ดู ก็เรียบร้อยดีครับ เรียกว่า งดงามสำหรับพระที่นั่งทรงธรรม แล้วก็อาคารบริวารรอบๆ ก็ใกล้จะเสร็จล่ะครับ คือดูแล้วก็ ทุกอย่างคือทันเวลาตามกำหนดไว้
ผมก็เลยเข้าไปดูโรงที่ว่า เครื่องประดับจำพวกมีเทวดา มีกินรี อะไรที่เป็นตัวประดับเนี่ย เขาสร้างเท่าคนจริงนะครับ เท่าคนจริง แล้วก็ทำด้วยไฟเบอร์กลาส ออกแบบ ปั้น ห่อ แล้วพิมพ์ออกมา แล้วก็ เราก็ต้องนึกว่า เออ คุกเข่าก็มี ยืนก็มี โอย เทวดา 40 เทวดา ตัวคุณศัพท์ของเทวดาเรียก 40 องค์ หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ เทวดาทั้ง 40 นั่นล่ะครับ ก็เสร็จ กำลังเริ่มตกแต่ง คือแบบที่ออกจากไฟเบอร์กลาสมาเนี่ยนะครับ ก็ปิดลงไปเป็นสีทอง แล้วก็จะต้องประดับ มีประดับ ก็ไม่ถึงกับเป็นเพชรนิลจินดาหรอกครับ แต่เป็นแก้ว เป็นเศษพลอยจริงๆ ก็มี เป็นแก้วก็มี ประดับ เครื่องประดับของพวกที่เขาเรียกอะไร รัดกร อะไรต่างๆ ทั้งหมดเนี่ยล่ะครับ ก็ประดับความสวยงาม
แต่ที่น่าสนใจคือตรงนี้ครับ ผมน่ะไม่เคยได้ดูรายละเอียด วันนั้นไปก็พอมีเวลา ก็ลากเก้าอี้มานั่ง อ่อ ปรากฏว่า ผ้านุ่งนะ ธรรมดาเวลาเขานุ่งโจงกระเบนนั้น แล้วก็มีสนับเพลา ผ้านุ่งต่อสนับเพลา ตรงตัวผ้านุ่งนี่ล่ะครับ เออ ดูแล้ว เอ๊ะ ทำไมลายนี้ ทำไมลายนี้ ปรากฏว่าผมก็พูดกับเจ้าหน้าที่เขาบอกว่า นี่ถ้าเผื่อท้าวเทวดามาจากสวรรค์ พระอินทร์มา ก็ คือถ้าเผื่อว่าธรรมดาควรจะซื้อผ้าพับเดียวกันแล้วก็นุ่งโจงกระเบนสีเดียวกัน ปรากฏว่า เทวดา 40 องค์นี่นุ่งโจงกระเบนไม่เหมือนกันเลยครับ คือ ช่างเขาออกแบบ ออกแบบลายโจงกระเบน 40 องค์ มาไม่เหมือน คือต่างคนต่างไปหาผ้ามาเอง ทำนองอย่างนั้นนะครับ เรียบร้อยเลย ทั้งสนับเพลา ทั้งอะไรต่างๆ ก็เวลาถ้าเปิดให้ชมนะ อาทิตย์หน้าเขาจะเปิดให้ชม เข้าไปชมสิครับ ให้สังเกตดู เป็นความอุตสาหะของช่างนะครับ เป็นความคิดว่าถ้าทำอันเดียว สีเดียว ก็เร็วนะ พลับๆๆๆ นี่เลือกเลย ต่างคนต่างสีมา ก็เป็นความงดงาม แล้วทุกคนทำ ทั้งงานช่วย ทั้งงานหา ดูเขาทำแล้ว ต้อง คือทุกคนทำด้วยใจ ทำด้วยเอาแรงใจมาใส่ พวกมาช่วยงาน พวกอะไรหนุ่มๆ สาวๆ มา แล้วก็พระโกศจันทน์ก็เสร็จแล้ว หีบไม้จันทน์ก็เสร็จแล้ว ทั้งหมดก็ดูลาย ตอนนี้พวกลายประดับ ที่ผมไปยืนดู ที่ออกข่าวนั่นล่ะครับ ลายมาก ลายอะไรต่างๆ ก็ดู เขาเขียนลายมือเขาเขียนฟรีแฮนด์ก่อนนะครับ เขียนธรรมดาก่อนแล้วไปออกแบบตรง คือเขาไม่ใช้เครื่อง เขาต้องออกแบบก่อน แล้วจากแบบถึงจะไปใส่เข้าธรรมดา เลือกให้มันตรง ให้มันถ่วงน้ำหนักสองข้าง
ก็ทุกคนทำกันด้วยใจเลยเชียวครับ ออกจากทางสนามหลวง ก็แวะไปดูที่กรมศิลปากรหน่อย ก็เสร็จครับ เสร็จเรียบร้อยเลย ทางฝ่ายทหารช่างที่มาช่วย ทหารที่มาทำงาน งานหนักนะครับ ทำล้อ ทำเพลาอะไรต่างๆ เสร็จ ถอนกลับไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่ศิลปากร เหลือแต่เป็นพวกเหมือนกับหมอเลย ใส่เสื้อกาวน์ เป็นพวกคลินิก ทำความสะอาด ประดับอะไรต่างๆ ก็เรียกว่าเสร็จ 100% ครับ รวมทั้งก็เริ่มแก้เคล็ด คือปกติเนี่ย ราชรถก็ดี ราชรถน้อยก็ดี พระยานมาศ 3 ลำคานก็ดี บรรดาสีวิกากาญจน์ที่จะต้องอัญเชิญพระโกศ ทุกอย่างเนี่ย อยู่ในพิพิธภัณฑ์ ถือเป็นสิ่งอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 แล้วมีก็ใส่ไว้เรื่อย เขาถือเคล็ดอย่างนี้ครับ เมื่อเอาเข้าไปจอดเก็บแล้วเนี่ย เขาจะก่อกำแพงกั้น ประตูน่ะปิด แต่หลังประตูมีกำแพงกั้น เป็นเคล็ดแบบความเชื่อของคนโบราณว่า ไม่จำเป็นไม่เอาออกมาใช้ ไม่ถึงเวลาไม่เอาออกมาใช้ ออกมาใช้เสร็จ ต้องเอากำแพงข้างในตัวโรงราชรถออก แล้วเมื่อเอาออกไปแล้วต้องตัดกำแพงกรมศิลปากร พิพิธภัณฑสถานนะ ต้องทำถนนโดยเฉพาะ ส่งถนนออกไปริมกำแพง แล้วก็ถึงเวลาก็จะตัดกำแพงเอาออก เคล็ดฮะ แปลว่าไม่จำเป็น ไม่ถึงเวลา ไม่เอาออกมาใช้
การที่จะแห่ขบวนซ้อมด้วยราชรถเนี่ย ราชรถน้อย ทั้งหมดเนี่ยก็จะใช้ 2 ครั้ง แต่ทหารเขาก็คงเริ่มแล้วครับ ทหารทั้งหมด 240 หน้า 240 หลัง อะไรเนี่ย ก็จะเริ่มซ้อม คือจะใช้รถที่มีน้ำหนักเท่ากับพระราชรถ มหาพิชัยราชรถ แล้วก็ดึงสายหน้าสายหลังซ้อมเดิน คืองานนี้เป็นงานใหญ่ครับ งานใหญ่มากเลย คือนานทีปีหน บางทีนานๆ ครึ่งศตวรรษไม่มีก็แล้วกัน นี่งานนี้ก็มีแล้วก็ดำเนินการทุกอย่างเนี่ยเป็นพระราชประเพณี เราเนี่ยเป็นชาติที่รักษาประเพณีนี้เอาไว้ได้ แม้กระทั่งประเพณีในการถวายพระเพลิง ทำครบถ้วนหมดครับ แล้วที่สำคัญที่สุดที่อยากจะเรียนท่านพี่น้องท่านผู้ชม คนที่เขาไปทำงานเนี่ย เขาทำด้วยใจ ถวายเลยเชียวครับ ฝีไม้ลายมือมีเท่าไร ปล่อยหมด แสดงกันหมด เจ้าหน้าที่ที่เดินทางอธิบายดู ผมก็เดินดูตั้งแต่แรกๆ จนกระทั่งบัดนี้ก็ใกล้จะเสร็จเนี่ยนะ ก็พอจะบอกให้ทราบได้ว่าทุกอย่างเรียบร้อย
ต่อไปนี้ก็อยู่ตรงที่ว่า งานทูลเชิญอะไรต่างๆ ภายในของเราไม่เป็นปัญหาหรอกครับ แต่บรรดาเจ้านายต่างประเทศเนี่ย ปกติก็จะต้องมางานพระศพ บัดนี้เจ้าหน้าที่เขาก็คง กระทรวงต่างประเทศ กับสำนักพระราชวัง ก็คงจะร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ดูว่าเจ้านายพระองค์ไหนในต่างประเทศจะเสด็จบ้าง จะฟังความ จะเริ่มหนังสือต้องออก งานต้องเดินต่อไปครับ ไม่มีอะไรอื่น เป็นหน้าที่ของคณะรัฐบาลต้องทำงานนี้ถวายให้สำเร็จเรียบร้อย นะครับ เรื่องสถานการณ์ก็ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มันก็คงจะคลี่คลายไปตามสถานการณ์
ทีนี้ถัดไป เราต้องเล่าถึงเรื่องความคืบหน้าในการเดิน-วิ่ง เนี่ยนะฮะ เขาก็ทำกัน คือ ต้องอธิบายความนะครับ เมื่อเวลาที่ไปเนี่ย ผมอธิบายความให้ฟังว่ายังไงเขาก็ดำเนินการครับ เล่นกีฬาบ้าง ประชุมสัมมนาบ้าง จัดการคุยกันเรื่องเกษตรเรื่องอะไรต่างๆ โดยมีธงเป็นหลักอยู่บนอำเภอนั้น แต่ว่าฟังความแล้วเนี่ยเขาจะทำเหมือนกับคบเพลิงโอลิมปิก คือเมื่อเสร็จจากจังหวัดไหนส่งมาแล้ว ก็จะมารวมจังหวัดที่เรียงแถว เช่นอย่างจังหวัดภาคใต้ พอเสร็จจากข้างล่างสุด นะครับ เสร็จจากทางนราธิวาส ก็จะส่งขึ้นมาปัตตานี ส่งมาทางยะลา หรือยะลาจะส่งเข้ามา ก็จะรวมค่อยๆ แปลว่าธงเนี่ยคงจะต้องรวมมากขึ้นแล้วเขาก็ส่ง คือเขาจะใช้เวลาส่ง หมายความว่าทั้งหมดพอเสร็จจากจังหวัดนั้น ก็จะไม่คาราคาซังอยู่ที่นั่น จะส่งออกมาร่วม นี่ฟังความนะ เขาบอกอย่างนี้นะครับ นี่ๆ เขาบอกว่า ความคืบหน้าของขบวนเดิน-วิ่งเฉลิมพระเกียรติรู้รักสามัคคี 116 วัน จากวันแม่ถึงวันพ่อ สายเหนือเริ่มเมื่อ 31 สิงหาฯ เริ่ม จ.เชียงราย 18 อำเภอ เมื่อเริ่มน่ะผมคิดว่า ฉลอง 18 อำเภอแล้วจะต้องรอ หรือเฉลี่ย 18 อำเภอให้ถึงใกล้วัน ไม่หรอกครับ เขาจะส่งลงมานี่นะครับ ปัจจุบันอยู่แม่ฮ่องสอน แล้วพอเสร็จ 18 อำเภอ เขาจะไล่ลงไป อยู่ที่แม่ฮ่องสอนถึงวันที่ 8 กันยาฯ แล้วแม่ฮ่องสอนก็จะไปเชียงใหม่ 9-14 กันยาฯ เขาก็
อธิบายความ ทางเหนือเนี่ยเขาจะรวมกันมา คำอธิบายก็คือว่าเจ้าหน้าที่แต่ละจังหวัดเขาจะประสานงานกัน เขาจะเลือกวิธีการยังไง จะฉลองกันอยู่นานแล้วก็เอามาพร้อม หรือเขาจะรวบ ค่อยๆ ทยอยๆ คือ ขบวนจะต้องใหญ่ขึ้นๆๆ ที่ผมบอกให้ฟังเนี่ยนะ สายเหนือเริ่ม จ.เชียงราย 18 อำเภอ ปัจจุบันอยู่แม่ฮ่องสอนถึงวันที่ 8 กันยาฯ เสร็จแม่ฮ่องสอนก็ไปเชียงใหม่ วันที่ 9-14 กันยายน ถึง 27 อำเภอ นี่แปลว่าแต่ละจังหวัดคงจะทำกันอยู่ แต่ว่าแต่ละจังหวัดเหมือนกัน เมื่อเสร็จแล้ว เขาจะ คือ ขบวนที่ส่งธงนั้นคงจะต้องโตขึ้นๆๆ ส่งเข้ามา
สายใต้เริ่มนี่ ขบวนเริ่ม จ.นราธิวาส 13 อำเภอ ต่อไปมายังปัตตานี 12 อำเภอ ปัจจุบันอยู่ยะลา 8 อำเภอ วันนี้เริ่มเข้าสงขลา วันที่ 11 กันยาฯ ก็ 16 อำเภอ เอ่อ แสดงว่าเขาก็คงจะทำให้ขบวนนั้นใหญ่ขึ้นๆๆ แล้วก็คงมา ก็เป็นวิธีดำเนินการอีกอัน อันนี้เป็นเรื่องของคณะกรรมการเขาจะตกลงกับทางท่านผู้ว่าฯ จะดำเนินการยังไง ผมก็อธิบายเนี่ย สายตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่ม 31 สิงหาฯ เริ่มขบวน จ.หนองคาย 17 อำเภอ ต่อมาอุดรธานี 20 อำเภอ แล้วต่อมายังหนองบัวลำภู วันที่ 10 กันยาฯ 6 อำเภอ ก็แสดงว่าเขาคงจะมีการคิดแล้วก็ทำรวบกันเข้ามาๆ แล้วต่อไปใกล้ๆ วันนัดหมาย ก็คงจะเข้ามาอยู่จังหวัดใกล้ ก็อย่างนี้ก็เป็นอีกรูปแบบนึงคือไม่ต้องเอาธงไปแช่ไว้ในแต่ละจังหวัด นะครับ อันนี้ก็เป็นคำอธิบายที่บอกมา
ทีนี้เมื่อรายงานเรื่องนี้แล้วผมก็ควรจะคุยให้ฟัง เวลาที่เหลือจะตอบคำถาม ต่อไปผมก็ควรจะต้องเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นนะครับ คือ จริงๆ แล้วสถานการณ์ทางการเมืองเนี่ยนะครับ ผมได้พบกับท่านผู้ชม ท่านเจ้าของประเทศแล้วหนนึงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 31 ทีนี้พอทำการอธิบายความเสร็จแล้วว่าอะไรเป็นอะไรยังไง ก็ปรากฏว่า ถึงวันที่ 1 ต่อวันที่ 2 ก็เกิดมีคณะผู้คนที่เขาอดรนทนไม่ได้ไปตั้งกองกันอยู่ที่สนามหลวง แล้วจะคิดอะไรยังไงไม่ทราบได้ จะบอกว่าต้องรักษารัฐธรรมนูญเขาก็ว่าจะมาล้อม ล้อมไว้ชั้นนึง มาช่วยตำรวจล้อมไว้ข้างนอก เอ้า ก็พรวดพราดกันออกมา ทางนี้เขาก็พวกออกจากทำเนียบ เขาก็มา เขาก็ตั้งจ้องกันอยู่ตรงนั้น ก็กราดเข้าปะทะกัน พวกนึงก็ดูจากภาพในรายงาน พวกนี้ใส่หมวกใส่อะไรเตรียมพร้อม มีเครื่องไม้เครื่องมือของเขา อีกข้างนึงก็เดินไม้กวัดแกว่งมา ถ่ายจาก 2 ข้าง ผมดูรายงานจากอะไรครับ พอเกิดเหตุเขาปะทะกัน มีคนถูกยิงตายไป 1 คน บาดเจ็บ 43 ผมก็ต้องออกจากบ้านมาประชุม เรียกแม่ทัพนายกองที่รับผิดชอบกันมา ผู้บัญชาการทหารบก แม่ทัพภาค 1 เจ้าของพื้นที่กรุงเทพมหานคร นี่ก็ ตำรวจ ผบ.ตร.ตำรวจอยู่ในท้องที่
ผมก็ตั้งประชุมตั้งกะตี 2 ถึงตี 4 ดูรายงานตลอดหมด ฟังรายงานตลอดหมด ก็บอกว่าอย่างนี้คงจะเป็นปัญหา เพราะว่าจะเอามายันเฉยๆ ตำรวจแจ้งมาทางทหาร ถามมาว่าจะออกไปช่วย โดยจะเป็นทหารถือโล่สัก 4 กองร้อย จะออกไปช่วยตำรวจกันไว้ ก็โอเค ผมก็อนุญาตว่าดำเนินการได้ แล้วก็ พอเสร็จแล้วก็ผมก็มาประชุมด้วย ประชุมกันก็ปรึกษาหารือกันเสร็จเรียบร้อย ผมไม่ได้คิดคนเดียว ตัดสินใจคนเดียวหรอกครับ บอกเอาล่ะ เพื่อรักษาสถานการณ์ก็ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน ก็ สมช.สภาความมั่นคงก็มาดูแลกฎหมายฉบับไหนๆ ลองดู ก็มียาวเป็นศอกเลยเราก็เลือกเอาแค่ 5 ข้อ แล้วก็เอาเฉพาะกรุงเทพมหานคร ที่เกิดเหตุ นโยบายก็บอกว่าไม่ให้กระทบกระเทือนการอยู่ทำมาหากินของประชาชน เรื่องการท่องเที่ยว
ตี 5 ก็ร่างเสร็จ ผมก็เซ็น 6 โมงกว่าก็ส่งไปกรมประชาสัมพันธ์ ก็ทำเป็นทางราชการก็ควรจะประกาศ 7 โมงเช้า คนทั้งประเทศฟังพร้อมกัน ก็ประกาศออกไป ประกาศภาวะฉุกเฉินไป ผู้คนทั่วไปก็คงคุ้นเคยกับภาวะฉุกเฉิน พอประกาศปั๊บ แปลว่าเหมือนกับว่าทหารก็เอาปืนใส่มือให้ ถ้าคนโบราณก็เอาดาบใส่มือเลย คือเอาปืนปั๊บต้องเข้าไปขู่แล้วยิงเลย ถ้าใครไม่นั่นต้องยิง ทำนองอย่างนั้น ถ้าดาบต้องเอาไปเงื้อเลย ถ้าไม่งั้นฟันเลย เขาก็คิดกันอย่างนั้น ทุกอย่างต้องสำเร็จเรียบร้อย เพราะประกาศแล้ว
ปรากฏว่า ผมเองผมก็ต้องอธิบายความให้ผู้คน พอ 9 โมงเช้าผมก็ไปอธิบายให้ฟังว่านี่นะจำเป็น อธิบายความเรื่องอย่างนี้เสร็จ ตั้งกรรมการไว้ ดูแลรักษาบ้านเมือง ปฏิบัติการตามนี้ คณะกรรมการเขาก็ประชุมกัน ผบ.ทบ.เป็นประธาน มีรอง 2 รอง แล้วก็ดำเนินการ ก็ประชุมหารือ ประชุมเกือบ 4 ชั่วโมงครับ พอตกบ่าย ผบ.ทบ.แถลง อธิบายความชี้แจงให้ฟัง เอ้า ผบ.ทบ.ปกติเป็นคนเงียบๆ ขรึมๆ ไม่ค่อยพูดจาอะไร ต้องตอบคำถามผู้สื่อข่าว โฮะ ท่านทั้งหลายที่ฟัง ผมเสียดายนะ เวลาผู้สื่อข่าวพูดเนี่ย เสียงมันไม่ค่อยเข้าเท่าไร แต่เวลาเสียงเข้า ถ้าอยู่ตรงที่เกิดเหตุ เสียงชัดเจน ออกมาน่ะชัด ถาม โห ถามกันรุนแรงครับ ผบ.ทบ.เป็นคนที่ไม่ได้ฝึกซ้อมเรื่องพรรค์นี้ไว้ครับ แต่ก็พูดจาเหมือนกับหลบๆ หลีกๆ ว่าจะต้องยังไงๆ สุดท้ายก็เข้าใจว่า เรื่องนี้จะปฏิบัติการทันทีอย่างที่เคยทำคงไม่ได้ จะต้องเลือกใช้วิธี จะต้องแยกให้คนออกจากกัน ไม่ให้คนทะเลาะกัน เอาตรงนี้ก่อน ก็กลายเป็นว่า อะไรกัน ผู้คนก็คิด วิพากษ์วิจารณ์ โอ๊ย นี่ทหารไม่อยู่ในการที่จะสั่งรัฐบาลหรือยังไง ผมฟังแล้วผมก็เข้าใจนะครับ ที่บอกเข้าใจคืออะไร คือสังคมปัจจุบันนี้ จะให้ทำยังไง ประคับประคองยังไง ไม่ได้ครับ ไม่ได้เลย ข้างไหนเป็นราชการข้างนั้นเสียรังวัด
ก็อย่างวันที่ 29 ตำรวจเอาหมายไปปิดประกาศ ก็ปะทะเข้าหากัน ก็ภาพถ่ายออกมาเลย กลายเป็นตำรวจตี ใครถูกตี ตำรวจก็บาดเจ็บ 27 คน ทางโน้นก็บาดเจ็บ ทั้งคู่ สถานการณ์อย่างนี้ไม่มีใครเห็นใจทั้งสองฝ่าย บอกใช้ความรุนแรง ตำรวจใช้ความรุนแรง พวกปลุกระดมเขาก็เอานี่เป็นข้อปลุกระดม ผู้คนทั้งหลายฟังไม่ฟังล่ะ บอกรัฐบาลใช้ความรุนแรง มาเลย แห่เข้ามาช่วย เอากัน นั่งรถนั่งรากันเข้ามา นั่นแหล่ะครับ 29
พอเหตุการณ์คืนวันที่ 1 เช้ามืดวันที่ 2 ก็อีหรอบเดียวกันอีก ผมตั้งกรรมการสอบทันที เพราะผมก็ไม่กล้าพูด เห็น ดูถ่ายดูรายงานก็รู้แล้ว ออกความเห็นก็ได้ แต่ไม่กล้าออกความเห็น เพราะเหตุว่า พูดไปก็เอาแล้ว เริ่มเอาอีกแล้ว เข้าข้างใครต่อใคร ให้กรรมการสอบ ผมบอกอย่างนั้น แต่ว่าจะบอกให้ฟังนะ ตีกันหัวร้างข้างแตก ยิงกันตายไปคน บาดเจ็บ 43 คน ไปโรงพยาบาล ข่าวออกมาอย่างกับว่าใช้ความรุนแรงอีกแล้ว รัฐบาลถูกกล่าวหาว่ารู้เห็นเป็นใจกับพวกที่เข้ามา ไอ้พวกเข้ามาน่ะถูกตี แล้วก็ตายด้วย ถูกยิงด้วย แต่กลายเป็นว่า เวลาฟังข่าวอีกข้างออกอีกข้าง โอ๊ย อย่างนี้จะทำยังไง ผมก็ต้องกลั้นใจฮะ เมื่อประกาศอยู่อย่างนั้นทหารก็เดือดร้อน
จะสรุปความให้ฟังตรงนี้นะครับ ก่อนหน้าที่จะถึงประกาศภาวะฉุกเฉินเนี่ย ก็พูดกันว่า โอ๊ย งานอย่างนี้เข้าไปยึดทำเนียบแล้ว รัฐบาลเอาไม่อยู่ แหม ผมฟังก็สะท้อนใจ ใช่ครับรัฐบาลเอาไม่อยู่ เพราะรัฐบาลยังไม่เอา ยังดำเนินการไม่ได้ เขาเฝ้ากันอยู่ว่าอย่างรุนแรงๆ เอาล่ะไม่รุนแรง เสร็จแล้วทำไง เสร็จแล้วก็ใช้วิธีทางศาล ไปยื่นศาล ศาลสั่งมา เอ้าศาลท่านสั่งเรื่องข้อกล่าวหาว่าอะไรต่างๆ มาตรา 4 มาตรา พอศาลสั่งมาก็ดำเนินการ เอ้า ตอนดึกศาลสั่งอีก 4 ทุ่มศาลสั่งอีกเรื่องทางแพ่ง เราก็ใช้นั่นล่ะ ได้อาวุธมาเลยเชียว ศาลสั่ง นั่นเขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ไม่มารายงานตัว ไม่ออกมา เข้าไป รุ่งขึ้นเราไปขอคำบังคับคดี เสร็จเรียบร้อยก็เอาตำรวจไป ก็จะจัดการ ก็ปะทะกันอย่างว่า
ไปๆ มาๆ ก็บอกแล้วว่ารัฐบาลก็เอาไม่อยู่ ศาลก็เอาไม่อยู่ น่ะ พูดอย่างนั้นนะ คุณบรรหารท่านก็ออกความเห็นมาบอกว่า เอ๊ย อย่างนี้ต้องประชุมสภา ต้องนั่น สภาต้องเอา ก็เอา ตกลงครับ ประชุมสภา ประชุมร่วมกัน ประชุมรับฟังความ อ่า ก็รู้เลยครับ รู้เลยวันอาทิตย์ตอนบ่ายนั่นล่ะครับ ฟังก็รู้เลย ล่อกันจนดึก ก็มีความคิดเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งทางพรรคฝ่ายค้านบอกให้ยุบสภา ยอมเสียสละ อีกกลุ่มทาง ส.ว.บอกไม่ได้ ต้องลาออก อ่ะ แล้วทางฝ่ายที่เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากอยู่จะทำยังไง ก็ต้องออกความเห็น ผมเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง รวมเป็นแกนนำรัฐบาล ผมก็บอกว่า เขาบอกให้ไปคิด ผมบอกไม่ต้องคิดล่ะ ผมลุกขึ้นตอบยืนตรงนั้นเลย ผมไม่ต้องคิด ผมตกลงใจได้ว่า ผมจะเลือกอีกทาง คือเลือกทางที่จะอยู่ จะอยู่รักษาสถานการณ์บ้านเมือง อยู่เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย
ผมบอกเลยว่า ผมก็เลือกทางที่ 3 ของผม ซึ่งเป็นสิทธิของผมนี่ฮะ สิทธิของประชาธิปัตย์บอกให้ยุบสภา บอกยอมเสียสละ จะยอมเลือกตั้งใหม่ทั้งๆ ที่เสียเปรียบ ทางฝ่ายวุฒิฯ บอก ออก อย่างนี้ต้องออก ผมก็บอกเลย สิทธิของทางฝ่ายผมบอกว่า ผมต้องอยู่ เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย เพราะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีเหตุผล ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีความเป็นมา อยู่ดีๆ กลุ่มคนพวกนึงลุกขึ้นมา จัดการเลย 5 คน เป็นหัวหน้า มีคนปรึกษาแล้วก็ดำเนินการกัน ใช้วิธี Propaganda ออกโทรทัศน์กันครึ่งปี ค่อนปี เรียกว่าเป็นไอ้แบบที่ภาษาฝรั่งเรียก Reality Show นั่นล่ะครับ พูดจาว่ากัน ด่าเอา ข้างเดียวล่ะครับ ว่ากันไป จนกระทั่งเกิดเรื่อง
จนกระทั่งผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเกิด เอ๊ะ อะไรกันขึ้นมา คนที่มีวิจารณญาณ ก็เรานับได้ คนที่วิจารณญาณน้อย ก็เชื่อ ก็ฟัง ชักชวนกันก็เข้ามา นั่นล่ะครับ คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผมต้องแน่ใจว่าบ้านเมืองเราเนี่ยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยู่กันมาเรียบร้อยดี จะยังไง กระโดกกระเดกมา 76 ปี ก็ไม่เคยมีอะไรที่มันถึงขนาดนี้ ก็ต้องอดกลั้นว่า เอาล่ะ ถึงขนาดนี้ก็ขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลก็ต้องสู้กับความไม่มีเหตุผล ก็ดำเนินการมาอย่างนี้ จนกระทั่งสุดท้ายต้องประกาศ พอประกาศเสร็จเรียบร้อย เอาล่ะครับ ตานี้ถึงข่าวหนังสือพิมพ์ เริ่มทำข่าว เมื่อผมประกาศ ก็ต้องประกาศเพราะว่ามี 2 ฉบับ ภายใน 3 วัน จะต้องมีเอกสาร 2 ฉบับเข้ามาที่คณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ
ฉบับหนึ่งก็ประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการ นั่นล่ะครับ ท่าน ผบ.ทบ.เป็นประธาน ผบ.ตร.เป็นรองประธาน แม่ทัพ 1 เป็นรองประธาน มีคณะบุคคล ก็เก็บเอาข้าราชการทุกกระทรวงนั่นล่ะครับเป็นคณะกรรมการ มีหน้าที่ดำเนินการยังไง ก็ 1.ต้องเอาประกาศฉบับนี้มาให้ ครม.เห็นชอบ 2.ธรรมดาเนี่ยมันมีประกาศ 21 ฉบับ รัฐมนตรี 20 คนจะต้องให้ความเห็นชอบในกฎหมายที่จะเกี่ยวข้องกับการประกาศภาวะฉุกเฉิน กฎหมายก็กำหนดให้บอกว่าให้อำนาจทั้งหมด ทุก 20 รัฐมนตรี มาอยู่ที่มือนายกรัฐมนตรี นี่เป็นแบบฟอร์มเลยนะครับ ให้อยู่ที่มือนายกรัฐมนตรี แล้วในที่สุด วรรคสุดท้าย นายกรัฐมนตรีก็มอบอำนาจที่ได้รับทั้งหมดให้กับผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นประธานในการที่จะดูแลเรื่องนี้
ปกติธรรมดา เป็นแบบฟอร์ม เป็นแบบฉบับ ไม่มีอะไรอื่น แต่ข้างนอกเป็นยังไงรู้มั้ย ข้างนอกพอท่านผู้บัญชาการทหารบกแสดงความเห็น ว่าไง โอย เอาแล้ว ทหารไม่เล่นกับรัฐบาลแล้ว ทหารไม่เล่นด้วย ผู้บัญชาการทหารบกบอกว่า อยากจะอยู่ตรงกลาง ช่วยแก้ไขสถานการณ์ แล้วทำไมคนเป็นรัฐบาลอย่างผมฟังได้ แต่สื่อฟังแล้วบอกไม่ได้ ไม่ได้เลย ทหารต้องเข้าข้างรัฐบาล ในใจผมก็คิดอย่างนั้น แต่อีกใจผมต้องคิดว่า ท่านรักษาความสงบไม่ให้มีเรื่อง ก็ไม่เป็นไร ให้ปืนเขาไป เขาจะเหน็บใส่พกไว้ก่อน ให้ดาบไปเขาจะเหน็บใส่หลังไว้ก่อน ก็ต้องดูว่าเออ แล้วจะทำยังไง เขาก็ต้องจะจัดการแก้ไข นี่หัวหน้ารัฐบาลก็เข้าใจ แต่ว่า หูย พาดหัวกันอย่างโน้นอย่างนี้ เอาแล้ว ทหารไม่ยอมนั่น พอรุ่งขึ้นปั๊บ ยังไง สมัครรวบอำนาจ ตามแบบฉบับวันที่ 4 ต้องประชุม เอาเลยครับ สมัครรวบอำนาจ ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมล่ะ สมัครรวบอำนาจ คือ หมายความว่า พออนุพงษ์ไม่ยอมเล่นด้วย เลยเอาอำนาจมาไว้ ออกข่าวกันเลย ปล่อยข่าว จะปลด ผบ.ทบ.จะอะไรๆ สุดแต่จะนั่นกัน ประเดี๋ยวองคมนตรีไปขอเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว เอานายสมัครเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว ไปลากเอามาเล่นกัน ผมก็ไม่ได้ไปเฝ้า องคมนตรีไปเฝ้าก็เรื่องขององคมนตรีท่าน จบเรียบร้อย เป็นธรรมเนียมนะครับ เมื่อเวลาคนระดับประธานองคมนตรีนั่งเครื่องบินกลับมาสนามบิน ธรรมดาเนี่ย ผบ.ทอ.จะต้องเป็นผู้ที่ไปรับ นายกรัฐมนตรีไปก็ไปรับ นายกรัฐมนตรีไป ก็ไปส่งไปรับ ประธานองคมนตรีเขาก็ไปรับ เขาก็ชวน ผบ.ทบ.ไปรับ เท่านั้นล่ะออกข่าวกันเลย โอ้โห ประธานองคมนตรีกลับจากเฝ้า เรียก ผบ.ทบ.เข้าเหล่าทัพ เข้าประชุม
เนี่ยล่ะครับ ทำไมผมจะไม่รู้เรื่องพรรค์นี้ ประชุมกันก็ไม่มีเรื่องอะไร ทุกอย่างก็ไม่มีเรื่อง ก็จบเรื่องกันอย่างนั้น บังเอิญผมเนี่ย ตอนบ่ายๆ วันนั้นผมก็คิดว่า เอ๊ะ มันควรจะต้องทำอะไรซักอย่าง อะไรซักอย่างของผมก็คือว่า ควรจะต้องพูดกับประชาชนทั้งประเทศให้ทราบว่าอะไรเป็นอะไร ยังไง คืออยากจะบอกว่า นึกยังไงถึงมาร่วมกับเขา ทำไมต้องมา จะพูดกันโดยตรงอย่างเนี้ย จะมารอถึงวันอาทิตย์ ไม่ไหว กว่าถั่วจะสุกงาไหม้ ก็เลยถาม กรมประชาสัมพันธ์บอกว่า วิทยุกรมประชาสัมพันธ์เนี่ย วิทยุบังคับฟังเนี่ยนะ ธรรมดาบังคับฟัง 7 โมง 7 โมงเช้าถึง 8 โมง ทุ่มนึงถึงสองทุ่ม ทั่วประเทศบังคับ 1 ชั่วโมง แต่กรุงเทพมหานครให้ครึ่งชั่วโมง พอ 7 โมงครึ่งก็ตัดไปถ่ายทอดเป็นอย่างอื่นได้ ก็เอาครึ่งชั่วโมงกรุงเทพฯ ผมก็เอาแล้ว กรุงเทพฯ ไม่ต้องฟังล่ะ เอาต่างจังหวัด 140 สถานี ผมก็ตกลงว่าผมจะไปคุย ตั้งใจจะไปคุยอย่างที่คุยๆ นั่นล่ะครับ หูย 3 ทุ่ม รายงานข่าวกันเอิกเกริกเลยนะครับ อู๊ย นายกฯ จะประกาศลาออก
คือ ข่าวก็รวบว่าผมจะไปออก ผมต้องการจะพูดกับประชาชนทั้งประเทศพร้อมๆ กัน เป็นเรื่องภายในของผม พอข่าวออกไป หูย โจษจันกันมา ยิ่งกลางคืนไป ประธานองคมนตรีกลับมา แม่ทัพนายกองไปรับ เอาล่ะ พรุ่งนี้เช้านายสมัครจะประกาศลาออก หูย บนเวทงเวทีปลุกระดมก็เอากันเลย เช้ามืดผมฟังวิทยุ ฟังน่ะมอนิเตอร์ฟัง โอ๊ย เตรียมการเลย ประกาศลาออกแล้ว จะต้องฉลองชัยชนะ โอย ผมก็ไม่ฟังล่ะ ผมก็มา เข้าหน้าประตูกรมประชาสัมพันธ์ เอ้า เงียบดี เออดี มาถึงก็ อู้หูย นักข่าวเป็นร้อยครับ เต็มไปหมดเลย บอก โอ้โห เขาตื่นเต้นกันมานั่นหมดเลย แล้วไอ้สิ่งที่ผมจะทำกับประชาชนธรรมดา นอกจากกรุงเทพฯ อ่า ทีวีทุกช่อง ต่อสัญญาณใส่ เอาเสียงผมออกเลยเชียวครับ แปลว่าได้ประโยชน์เกินคาด ผมก็พูดอธิบายความให้ฟัง
ท่านทั้งหลายที่คงได้ฟังแล้ว ที่ผมพูดอธิบายน่ะครับ คือต้องรู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้น มันเป็นยังไง ต้องให้คนทั้งบ้านทั้งเมืองต้องฉุกคิด ขอยืมคำพระพยอมท่านมาใช้ บอกให้ฉุกคิดว่ามันอะไร คณะผู้คนพวกนี้เขาเป็นใครมาจากไหน เขามี 5 คน เขาใช้ทีวีปลุกระดมกันมาทั่วประเทศเป็นเวลายาวนาน พูดจาเอาข้างเดียวอะไรต่างๆ เราก็ทบทวนให้ฟัง เขาด่าว่ารัฐบาลเก่า นายกฯ คนเก่ากลับมา กลับมาได้ก็ต้องมาขึ้นศาล ยังไม่ทันไรก็จัดการ โดนกัน 1 คดี ท่านก็บอกไม่ได้ ท่านต้องถอยไปอยู่ข้างนอก แล้วพอเสร็จแล้วก็ล่อต่อ ไปๆ มาๆ จะล่อมาพาดพิงถึงผม
ฟังความ อู้หูย ดุด่าว่ากล่าวผมมีบันทึกหมดเลย เขาเขียนอะไร ใครด่ายังไงๆ ผมบอก กรุณาเถอะครับ ขอบพระคุณที่ส่งมาให้ แต่จะไม่เอามาอ่านล่ะ อย่างสาดเสียเทเสีย อย่างขึ้นศาลวันไหนก็ต้อง โอ๊ย ศาลท่านก็คงฟังไม่ได้เหมือนกันล่ะครับ มันสุดจะนั่นล่ะครับ ด่า ก่นด่า ผมก็บอก แล้วผมไปเป็นอะไรขนาดนั้น ผมก็ต้องถกเถียงตามประสาของผม เพราะผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น โอ้โหย อ่านหนังสือพิมพ์ ตรงนี้นะ อย่าพูดถึงหนังสือพิมพ์ อย่าไปแตะต้องเขา อย่างโน้นอย่างนี้ ผมบอกว่าผมอ่านแล้วผมก็ต้องมีความเห็น ก็เขามีความเห็นว่ากล่าวผม ทำไมผมจะไม่ได้ คือ สรุปความหมายความว่าไอ้คนผิดน่ะคือนายสมัคร คือไม่ได้เอ่ยเลยคนที่มาทำ ที่มายึดทำเนียบ ที่ไปยึดอะไรต่างๆ ทำเนียบสกปรกเสียหาย ไม่มีใครว่ากล่าวเลยครับ แต่ว่าไอ้คนที่ผิดคือหัวหน้ารัฐบาล มันผิดตั้งแต่ต้น ไม่ดูตัวเอง ไม่สำรวจตัวเอง โอ๊ย ออกมา ทุกคนกลายเป็นสูตรท่องกันมาเลยครับ ไอ้หัวหน้าคนนี้มันเลว มันทำอะไร เลวกันยังไง เลวคือยกเขาพระวิหารไปให้ต่างชาติ ทำให้เสียดินแดน ทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร เริ่มต้นโครงการทั้งนั้น ยังไม่ทำอะไรเลย สเปกก็ยังไม่ได้ออก โกงแล้ว ว่าทุจริตคดโกง ว่ายกชาติบ้านเมืองทำให้เสียดินแดน สุดจะดุด่าว่ากล่าว
ไอ้ที่พูดปลุกระดมกันนี่ล่ะครับ มีคนจำนวนหนึ่งไปฟังแล้วเชื่อ แล้วสุดท้ายกลับมา ที่ผมเสียดายเสียใจกับมันนี่ก็คือว่า คนเขียนบทความหนังสือพิมพ์ ซึ่งควรจะเป็นคนมีสติปัญญาความคิด ทุกคนยืนยันมาบอกว่าไอ้คนผิดเนี่ยคือไอ้นายกรัฐมนตรี ไอ้นายสมัครนี่ล่ะมันผิดแล้วมันไม่ดูตัวเอง โอ๊ย ฟังความเมื่อคืนจนดึกจนดื่นยังดูเลยว่า ไอ้คนนี้มันไม่เหลียวมาดูตัวเองเลย มันเห็นคนอื่นผิดเห็นคนอื่นเลว ผมไม่เคยไปพูดจาอย่างนั้นเลย แต่ว่าจะเถียง ผมต้องเถียงครับ เพราะผมถือคติว่า ถ้าไม่ตอบโต้ก็แปลว่ามันผิดอย่างนั้นจริง
โอ๊ย เขาว่าด่าไป ไม่ได้ครับ บางคนยอมอย่างนั้นได้ ยอมให้ดุด่าว่ากล่าวไป ก็เจอยังไง ก็เจออย่างอดีตนายกฯ ทักษิณไงฮะ ไม่โต้ไม่เถียง โต้ไปไม่เป็นไร เขาด่าเรื่องทำบุญประเทศ เรื่องอะไร ล่อเข้า 7 เดือน ด่าตั้งแต่เอกสารขาว-ดำ จนกระทั่งเอกสารพิมพ์สีสวยงาม แล้วสุดท้ายเป็นไง สุดท้ายสำนักราชวังก็ทนไม่ได้ ต้องออกมาอธิบายชี้แจงให้คนฟังว่าเขาทำถูกต้องอะไรต่างๆ เอ้า ก็เลื้อยไปเรื่องอื่น เลื้อยไปเรื่องอื่น อย่างนั้นเขายอมให้สับโขก ผมไม่ยอมครับ ผมไม่ยอมให้มาสับโขกว่ากล่าวผมข้างเดียว ผมอ่านผมเข้าใจ ผมต้องอธิบายให้ฟัง แล้วที่ผมพูดไปผมต้องการรู้ว่า นึกยังไงถึงได้เข้าไป นี่ผมขอย้ำหน่อยนะครับ คือมันมีในต่างประเทศ อย่างไอ้พวกดาวิเดียนเนี่ย บอกโหย ฟ้าเปิดตรงนี้ ถ้าไม่ฆ่าตัวตายตรงนี้ ถ้าฟ้าปิดไม่นั่น ฆ่าตัวตาย 300 คนน่ะครับจะไปพบ God กันน่ะ เห็นมั้ย
แล้วอย่างไอ้วาโก้ที่เทกซัสน่ะ มันเผามันตายกันทั้งหมดเลย จำนวนไม่รู้เท่าไรต้องตายหมด เพราะเชื่อ ไอ้ลัทธิอย่างโอมชินริเกียว ที่ญี่ปุ่น เขาก็เชื่อถือกันแบบนี้ แล้วไอ้นี่มันลัทธิอะไรยังไง ผมก็เตือนสติว่ามันอะไร ดูหน่อย เป็นใคร ยังไง เขาก็ไม่ได้ประกาศว่าเขาเป็นเจ้าลัทธิ แต่ว่าไอ้การใช้ทีวี ผมต้องขอประทานโทษจริงๆ ใช้คำว่า "มอมเมา" ทำให้คนทั้งบ้านทั้งเมืองเข้าใจผิด ไม่ใช่แค่เมืองไทยนะครับ คนไทยในต่างแดนในโลก โอ้โหย ออกมาเขาฟังอยู่นั่นล่ะ ฟังมันออก Global มันไปทั่วโลก คนไทยที่โน่นก็ฟัง แล้วรัฐบาลมันมี Global มั้ย รัฐบาลก็มีช่อง 5 เขาก็ไม่ได้ออกมาปกป้องอะไรต่างๆ รายการเขาก็ออกไปอย่างนั้น เป็นข่าวไปธรรมดา วิจารณญาณของคนฟังนี่ล่ะครับที่จะต้องพูดกันให้เข้าใจ ผมถึงพยายามว่า เอาล่ะ จะด้วยยังไงก็ตามแต่ คนในประเทศนี้มี 63 ล้านคน คนจะกี่หมื่นก็ตามแต่ จะอยู่ในทำเนียบฯ จะยึดยังไง คนจะแห่หันเข้ามายังไงต่างๆ ผมก็ต้องให้คนทั้งบ้านเมืองเข้าใจว่า ในเรื่ององคาพยพทั้งหลาย ในเรื่องอย่างยกตัวอย่างสหภาพต่างๆ น่ะ ถูกต้องบ้านเมืองมีประชาธิปไตย มีสหภาพแรงงาน สหภาพแรงงาน 100% นะ 90% เขาเป็นคนธรรมดา เขาดูแล แต่ 10% เขาเคลื่อนไหว แล้ว 10% นี่ล่ะครับออกมาเคลื่อนไหว แล้วไปอยู่ที่ไหน มันก็เข้ามาเป็นข่าว แล้วใครเป็นคนทำข่าว ก็ที่นั่งรายการทั้งเช้า ทั้งสาย ทั้งบ่าย ทั้งเย็น แต่ก่อนนั่ง 1 เดี๋ยวนี้นั่ง 2 เดี๋ยวนี้นั่ง 5 ก็มี คุยกันฉับๆๆ
ไอ้นี่ล่ะครับ ตรงนี้ล่ะครับ ที่จะต้องพูด ผมไม่ตำหนิหรอกครับ แต่ผมมีสิทธิที่จะต้องพูดถึงเรื่องนี้ โอ๊ย พ่อคนนั้นมา คนนี้มา จะต้องนั่น จะตัดน้ำ จะตัดไฟ อะไรต่างๆ นั่งแสดงความวิตกทุกข์ร้อน โอ๊ย นี่กี่โมงแล้ว วันเสาร์ วันที่ 3 จะเป็นวันโชว์ดาวน์ วันที่ 3 กี่โมง มาถ่ายก๊อกน้ำยังเปิดได้ ไอ้นั่นไฟยังมี เสร็จแล้วไปถึงวันที่ 3 คนที่เขามีหน้าที่รักษา เขารักษา ไฟฟ้าฝ่ายผลิตเขาบอก เขาทำหน้าที่มา 40 ปี เขาไม่ให้ใครมาทำให้อย่างนี้ได้เลย แต่คนสหภาพบอก ออกมา ไม่ได้ จะสั่งปิดไปแล้ว ตัดไปแล้ว 39 จุด เอ้า 39 จุด แล้วทำไม ทำไมไม่มีใครร้องทุกข์ ปิดไปแล้ว 39 จุด น้ำประปา ปิดโน่นปิดนี่ คือข่าวที่เขาเอามาขู่เอามาเล่า บรรดาคนที่นั่งบนโทรทัศน์ทั้งหลายนั่น ผมบอกคุณพวกนี้ล่ะครับที่ผมต้องพูดถึงว่า โอ้ ..
ถ้าเขาคิดอย่างผม แล้วผมไปทำหน้าที่อย่างนั้น ผมจะพูดอย่างผมคิด แต่พวกนั้นไม่มีหรอกครับ แสดงความหวั่นวิตก ความหวั่นไหว จัดการมาถามยังไงไป นักศึกษาทางนั้นเข้ามาแล้ว ขบวนนี้เข้าาแล้ว เป็นสิทธิเสรีภาพที่จะแสดง แต่เป็นเท่าเทียมกัน เป็นสิทธิเสรีภาพของคนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ ก็อ๋อ ก็โอเค ก็ทำไป นักศึกษาก็เข้ามาแล้ว นั่นขบวนนั้น จุฬาฯ นั่นแต่งสีชมพูเข้ามา เดินเข้ามา ก็จุฬาฯ เท่าไร มีเท่าไรครับ ก็มาแสดงเมื่อวานนี้ แล้วนักศึกษามาเท่าไร มาราชภัฏ ต่างจังหวัด ทางโน้นมาจากโคราช มาจากอะไรต่างๆ มีธรรมศาสตร์บางส่วน แล้วก็เข้ามา เดินกัน 2 พัน ไปอนุสาวรีย์ ไปประกาศ แล้วเสร็จแล้วยังไง ผมต้องเลิกคิ้ว ก็อ่ะรัฐบาลต้องออก สมัครต้องออก ผมบอก อ่อ นักศึกษา นิสิต ก็เอากับเขาอย่างนั้นด้วยเหรอครับเนี่ย
แต่จำนวนมาเขาว่า 2 พัน ก็เอาเถอะ ใครจะเดินตามไปด้วยเท่าไร ก็สุดแท้แต่ ก็แสดง ก็แสดงก็แสดงสิครับ เล่นบอกจะยึดสะพานมัฆวานฯ จะแสดง คนที่อยู่ในทำเนียบน่ะ แหม ผมก็สงสารจริง จริ๊ง คือสงสารทั้งสงสาร ทั้งเห็นใจ คนผมก็ไม่เคยรู้นะครับว่ามาจากจังหวัดตรัง มาจากภูเก็ต มากัน คนที่โน่นน่ะเขาทนไม่ได้เขาเอารถมารับ มาจอดทำเนียบ มาจอดลานพระรูป แล้วไปเอากันออกมา โอ๊ย จะเข้าใจผิดกันอีก หาว่าเป็นคนรัฐบาลมาชวนออก เอ้า คนรัฐบาลไปชวนน่ะใครจะเชื่อครับ นี่ญาติพี่น้องเขามาชวน เขาบอกไม่ไหว ไม่ได้แล้ว มาอยู่ 4 วัน 5 วัน เขาไม่นั่น เขามาเอากลับ โอ๊ย กว่าจะเจรจากันได้
โอย ผมดูข่าว ผมก็ยกมือท่วมหัว เจ้าประคู้ณ ดีจริงๆ ในที่สุดไอ้ความทนไม่ได้ ความที่เห็นว่าทำกันไม่มีเหตุผล เอารถมารับครับ ตำรวจนั่งนำขบวนส่งเลยครับ ยังไม่รู้อีกเท่าไร ยังไม่รู้ว่าที่เขาบอกว่าคนจะออกไม่ให้ออกเนี่ย คือหลักการเราบอกเราจะล้อมไว้ข้างนอก ออกได้เข้าไม่ได้ ก็จะได้จบเรื่อง ไม่ให้ออก เอ้า ไม่ให้ออกแล้วยังไง ก็บรรดาพวกกรรมการสิทธิมนุษยชนท่านอยู่ที่ไหนยังไงก็ไม่ทราบ โทรศัพท์มือถือไม่ตัด ตัดได้ครับ ตัดก็โทรไม่ได้ แต่ตัดแล้วคนข้างในที่เขาจะโทรศัพท์ออกมาจะบอกอะไรความ ก็ไม่ได้มีข่าว เขาจะร้องทุกข์ ร้องพ่อแม่ เขาจะกลับ ผัวเมียเขาจะเอาเมียกลับ ผัวจะเอากลับ จะทำยังไง แต่ว่าก็มีการเอากันเข้าไป หลั่งไหลกันเข้าไป
โอ๊ย ที่ฟัง ที่ดู เมื่อวานนี้ใจหายวาบเลยเนี่ยนะครับ นักเรียนวชิราวุธครับ 3 คน แต่งเครื่องแบบ ใส่คอ กางร่ม เข้าไปเวทีพันธมิตรฯ ผมล่ะโอ้โห ใจลงไปอยู่ที่ข้อเท้าพอเห็น โอ้โห ตายล่ะ ตาย ผมก็นึกในใจ อะไรกันครับเนี่ย พวกจุฬาฯ ใส่สีชมพูมาเดินกันนั้น บอกจุฬาฯ ก็มี ธรรมศาสตร์มีเด็ก 10 กว่าคนไปขึ้นเวที วิจารณญาณของผมก็ว่า ใครจะไปชักชวนยังไงก็สุดแท้แต่ แต่ว่าจริงๆ แล้วก็ ผมก็บอกว่า เรื่องอย่างนี้ผมเข้าใจ ใครจะเท่าไร ๆ จะทำ ได้ครับ แต่ธรรมศาสตร์ทั้งองคาพยพ ไม่มา จุฬาฯ ทั้งองคาพยพไม่มา แต่บางส่วนบางสัดจะมาก็ตามใจครับ ก็ตามใจ
แต่ที่ผมบอก นักเรียนวชิราวุธเนี่ยมี 900 คน 3 คน แต่งเครื่องแบบสะอาด ใหม่เอี่ยม ถือร่มกางค่อยๆ เดินย่องเข้ามา ผมบอกอย่างนี้ โรงเรียนนี้นะครับ เป็นโรงเรียนที่เขาเทียบมาจากอีตัน (Eton) นะครับ โรงเรียนกินนอนอังกฤษ โรงเรียน อู๊ย ต่างๆ นักเรียน ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องจบโรงเรียนอีตัน ธรรมเนียมอังกฤษ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงสร้างโรงเรียนนี้ขึ้นมา เจ้านายทรงอุปถัมภ์ เจ้านายทรงอุปถัมภ์ มีงานมีการอะไรเป็นพิเศษกว่าคนอื่น จะต้องนั่นต่างๆ โอ ก็อยู่เฉยๆ ก็ไม่เป็นปัญหา ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรก็ได้ โอย เขาทำยังไงก็ไม่ทราบได้ครับ ใครจะอยู่ข้างหน้าข้างหลัง เอานักเรียนวชิราวุธ แต่งเครื่องแบบ ใส่คอปิด 3 คน เดินถือร่มเข้ามาเลยครับ กำลังฝนตกด้วย โอย ก็ต้องมาบ่นให้ฟังไว้ล่ะครับ
แต่ที่พูดไปพูดมาทั้งหมดนี้ เพียงแต่บอกว่า จนถึงวันนี้สถานการณ์ทั้งหลายทั้งปวง ผมกับแม่ทัพนายกองที่ดูแล ก็พูดจากัน หนทางออกก็มองเห็นครับ ท่านผู้บัญชาการทหารบกบอก ทางทหารเนี่ย ที่จะต้องระมัดระวังทั้งหมด เพราะเปิดออกมาเนี่ยมันกำแพง หาประตูออกไม่ได้ ท่านผู้ชมฟังให้ดีนะฮะ รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ ศาลก็เอาไม่อยู่ เข้าไปสภารอบแรกก็เอาไม่อยู่ สุดท้ายทำยังไงครับ ประกาศภาวะฉุกเฉิน ทหารเข้ามาดู ทหารก็เอาไม่อยู่ แล้วจะทำยังไงครับ ทหารบอกว่าต้องกลับไปดูที่สภา ประตูอยู่สภา ผมก็กลับไป อ่อ ประชุม ครม.ภาคพิเศษ ก็อนุมัติ รัฐมนตรีฯ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล พรรคชาติไทย บอก ท่านนายกฯ มาตรา 165 พอฟังความ อ่า สมาชิกข้างในก็บอกว่า คุณสุทิน คลังแสง พูดไป นายกฯ ไม่ได้ ผมบอกอ่ะ ผมอาจจะบกพร่องตรงนั้น เขาเสนอไว้ในสภา มาตรา 165 ก็ขอบคุณรัฐมนตรีฯ สมศักดิ์ เอามาแต่ประเด็นนี้มา แสดงว่าในพรรคของท่านก็คงอ่านกันดูแล้ว ก็เอามาตรา 165
มาตรา 165 อ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ได้มีอะไรลึกลับเลยครับ ชัดเจนเลย (1) บอกเลย ถ้ามีสถานการณ์เป็นอย่างนี้ มีปัญหาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ ก็ขอให้ทางนายกรัฐมนตรีติดต่อประธานสภา จัดการประกาศราชกิจจาฯ จะทำกันเนี่ย ผมก็บอก เออ ข้อ 1 ก็เข้าแล้ว แล้วก็มาข้อ 2 ข้อ 2 เหมือนมันขบ ไม่ขบครับ ฟังให้ดีนะครับ (2) บอกว่า ถ้าจะทำประชามติเนี่ย จะทำประชามติที่ขัดรัฐธรรมนูญไม่ได้ คำอธิบายแปลว่ายังไง แปลว่าสมมุติว่าจะทำประชามติเพื่อเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ไม่ได้ ทำประชามติเพื่อจะขอเลิกมาตรา 63 ที่เขาใช้อยู่เนี่ย ทำประชามติเพื่อเลิกมาตรา 63 ไม่ได้ อย่างนี้แปลว่าขัดรัฐธรรมนูญ เท่านั้นล่ะครับ แล้วเขาบอกว่าเอาประชามติเพื่อตัวบุคคล เอาคนนี้กับคนนี้ จะเข้ากับใคร อย่างนี้ไม่ได้ เห็นมั้ย
แต่ว่าวรรค 1 บอกไว้ชัดเจน มีปัญหา ผมก็บอกกฤษฎีกา ที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาลนะ บอกช่วยไปดูให้หน่อยซิว่าจะเขียนถ้อยคำยังไง อ่าว พอฟังความ อ่า ฝ่ายกฎหมายเขาบอกว่า ท่านนายกฯ กฎหมายเนี่ยมันผ่านสภาแล้วจริงนะแต่วันจันทร์เนี่ยมันจะเข้าวุฒิฯ แล้วยังไง วุฒิฯ จะผ่าน ไม่ผ่าน ก็ไม่ทราบ อ้าวแล้วทำไมเขาจะไม่ร่วมมือ ก็วุฒิฯ เขาก็มาจากเลือกตั้งครึ่งหนึ่ง 76 แล้วแต่งตั้งมา 74 150 เนี่ยจะเห็นยังไงก็ไม่ทราบ บอกไม่เป็นปัญหา เราออกข่าวได้ว่าเราจะใช้ 165 แล้วก็ขอความกรุณาวุฒิฯ โอย พอถึงวัน เขาไม่ประชุมกัน วันศุกร์เอาเข้าเลยครับ เอาเข้าเลย วุฒิฯ จะใช้เวลา 90 วัน วุฒิฯ บอกว่ารับหลักการวาระ 1 แล้วแปรญัตติภายใน 7 วัน นั่นแปลว่าวุฒิฯ ร่วมมือ ก็ดี แต่คนอื่นๆ ไม่เห็นด้วยๆ ไม่เอาด้วย อะไรต่างๆ วุฒิฯ เสร็จแล้วไม่นั่น วุฒิฯ เสร็จ 90 วัน จะต้องไปให้ เรื่องกฎหมายลูกรัฐธรรมนูญ จะต้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญดูแล ทั้งหมดบอกอีก 7 เดือน ถึงจะใช้กฎหมายนี้ได้
อ่อ 7 เดือน ฮ่ะๆๆ ไม่ใช่ถั่วสุกงาไหม้หรอกครับ ฮ่ะๆๆๆ งาไปเป็นผุยผงที่ไหนแล้วก็ไม่ทราบกว่าถั่วจะสุก ผมก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นปัญหา มีช่องทางจะดำเนินการ จะเสร็จเมื่อไร จะยังไงก็ตามแต่ ผมก็ไป ผมไปตรวจงาน เอ้านั่งรอรถยังไม่มา รถมันอ้อมมารับทางโน้น ใต้ต้นไม้ร่มเย็นดี พอเมื่อยนั่ง โอย นักข่าวมา ผมก็คิดอยู่แล้วกลางคืนจะออกโทรทัศน์จะคุยต่อซะหน่อย อ่ะเขามากันเต็มๆ ทุกช่อง ทุกฝ่าย ก็เลยคุยเลยครับ เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องนี้เรื่องนั้น อ่า คือไอ้โทรทัศน์น่ะเขาจะออกที่ผมคุยทั้งหมดคงไม่ได้หรอกครับ เพราะเขาเลือกออก แต่เขาเลือกออกตามที่เขาเห็น ไอ้บางส่วนบางตอน บางอันก็ได้ออก ไม่ออกๆ อู๊ย นักข่าวน่ะต้องใช้ภาษาฝรั่งทันสมัย เขาเรียก "อิน" ฮะ อินมากเลย บอกบ้านเมืองผู้คนแตกแยกกันหมดแล้ว ผมก็พยายามนั่นไป มันแตกแยกกันขนาดไหน ใครกับใครแตกแยกกัน แตกแยกกันหมดแล้ว ใครกับใครไหนบอกมาซิ ผมกับคุณอภิสิทธิ์ หรือยังไง ไม่ใช่ นักข่าวผู้หญิงคนหนึ่งออกชื่อเธอก็ได้ คือคุณบุญระดม จิตดอน เธอนั่นล่ะ โอ๊ย แตกแยกกันหมด ผมบอกแล้วยังไง ในครอบครัวก็แตกแยก ผมก็เลยกระเซ้าดูว่า เออๆ แล้วครอบครัวแตกแยก? แตกแยก โอย ผมฟังแล้วใจหายวาบเลย เพราะเธอยอมรับบอกครอบครัวเธอแตกแยก ผมก็เอาครอบครัวผมหักล้าง ผมบอกครอบครัวผมนะ มีพ่อ มีแม่ มีลูกสาว 2 มีลูกเขย 2 ยังไม่ได้แถมว่ามีหลานอีก 3 นะ แล้วหลานอีก 3 น่ะรู้ภาษาแล้ว 2 คนด้วยนะครับ
โอย ปรากฏว่า ผมก็กระเซ้ากลับไป พอสนุกน่ะครับ ผมบอกว่าครอบครัวผมไม่แตกแยกเลย เห็นตรงกันหมดเลย ฮ่ะๆ ภรรยาผมก็บ่น เพราะว่าประเดี๋ยวก็มาล้อมบ้าน เดี๋ยวจะล้อมบ้าน พอจะล้อมบ้าน ตำรวจเขาก็บอกว่าไม่อยากให้อยู่ข้างใน ภรรยาผมบอกข้างในบ้านไม่มีใครรักบ้าน เขารักบ้าน เขาบอกเขาอยู่ เขาไม่นั่นล่ะ แต่บางทีตำรวจก็บอกว่า อย่าเพิ่งเลยครับเดี๋ยวจะรุนแรง แล้วทำไง ก็ต้องเอาหลาน หลาน เมื่อวันที่ 25 เนี่ยนะ วันที่เขาปลุกระดมกันเนี่ย วันเริ่มต้นเนี่ย หลานผมเกิด พอวันที่ 25 สิงหาฯ ครบ 3 เดือน ระหว่างนั้น เดี๋ยวจะมา เดี๋ยวจะล้อม เดี๋ยวจะยกขบวนมา ตำรวจก็มา เขาบอกเขามาดูแลให้แต่ไม่อยากให้เจ้าของบ้านอยู่ข้างใน
วันหนึ่งภรรยาผมอดรนทนไม่ได้ก็ต้องเอาหลานไปอยู่ที่อื่น เขาก็บ่น เป็นครั้งแรกที่บ่นกับผมเลย บอกดูสิ ไอ้ตัวเองไม่เป็นไร นี่หลานอายุ 3 เดือน หลานอายุ 3 เดือน ก็ต้องออกจากบ้านแล้วเพราะจะหลบลี้ภัยอะไรก็ไม่ทราบได้ เราเป็นคนที่ไม่เคยเป็นภัยมีภัยอะไรกับใครในบ้านเมือง พูดกันไป พูดกันมา คิดกันไป คิดกันมา เหมือนกับว่าไอ้สมัครเนี่ยทำให้ดีนะ ต่อไปจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ไอ้สมัครเนี่ยต่อไปไม่มีแผ่นดินอยู่ ฟังความฟังอะไร เหมือนกับผมเนี่ยมีความผิดติดตัว ทำความเลวทรามต่ำช้าอะไร คือพูดกันอย่างนั้น พูดกันไปพูดกันมาๆ จนกระทั่งบัดนี้เหมือนกับว่า เป็นรัฐบาลต้องออก นี่มันดื้อด้าน มันต้องออก โดยไม่ฟังเลยนะครับว่า แล้วตกลงที่ไอ้ฝ่ายที่มันมาขับมาไล่ มาจัดการ มายึดอำนาจ ปีนเข้าไปในทำเนียบอะไรอย่างนี้ ไม่มีใครพูด สื่อสารมวลชนทั้งหลายไม่ค่อยอีนังขังขอบกับทางนั้น ไม่ค่อยตำหนิติเตียน
ผมน่ะจะบอกให้ฟังนะ ผมอ่านข่าว อ่านหนังสือ พรรคพวกส่งจดหมายมา เขียนจดหมายจากอเมริกามาถึง ส่งอีเมล์มาฝากคนมาให้ คุณสมัคร อย่างนี้มันเกินเหตุ คุณทำอะไรอยู่ ประกาศกฎอัยการศึก ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้วยซ้ำ ก็ยังไม่ดำเนินการอะไร บอกก่อนนั้นไม่ประกาศเข้าไป เขาบอกในประเทศอย่างในอเมริกาน่ะ ถ้าปีนรั้วทำเนียบขาว เขายิงเลยครับ เขายิงเลย เขาไม่นั่นเลย บอกว่ายึดสนามบิน นอนกลางสนามบิน สนามบินบอกไม่ได้ บอกอู๊ย โดนซิว ซิวคือฟ้อง ฟ้องกันเอาตัวไม่รอดเลยก็แล้วกันครับ นั่นล่ะครับประชาธิปไตยจ๋าเลย อเมริกันเนี่ย หัวโจกประชาธิปไตยแบบอเมริกันเลย เขาบอกไม่ได้เลยเชียวครับ
ไปประชุม เขาประชุมรีพับลิกันประชุมกันมีคนไปก่อกวน เขาจับไปเลยครับ 300 คน ตำรวจจับตัวไปเลย โอย บอกมีแต่ประชาธิปไตยเมืองไทย ไม่ได้หรอกครับ จะมีที่ไหนมาสู้ที่นี่ไม่ได้หรอกครับ เพราะสังคมเราก็เปลี่ยนแปลง สังคมเราเปลี่ยนแปลงนะฮะ กระทบกระทั่งอะไรไม่ได้เลยครับ รัฐบาลต้องดี ต้องนั่น ทหารถึงเสียรังวัดไงครับ ทหารบอกไม่ได้ ให้ปืนมาต้องเหน็บใส่กระเป๋า ต้องเหน็บใส่ซอง ให้ดาบมาต้องเหน็บใส่หลัง แล้วค่อยๆ ประคับประคอง ค่อยโอ้โลมปฏิโลม จะพูดจาอะไรกัน ในขณะเดียวกันสื่อก็รายงาน โอ้โห รายงาน แต่สื่อบอกต้องอยู่ตรงกลาง ต้องรายงานถี่ถ้วน รายงานละเอียดเชียวครับ ใครเข้าไปร่วมชุมนุมยังไง ใครเคลื่อนไหวยังไง ใครพูดยังไง อะไร
แต่ผมก็อยากจะขอบคุณสื่อนะครับ ถ้าไม่ได้สื่อรายงานเนี่ย ผมจะไม่มีทางทราบเลยว่าคน 5 คน เขาคิดอะไร ยังไง เขาพูดจายังไงๆ พอพูดกันมา พูดออกมาคำนึงก็บอก เออ ดี พูดมาคำ อ่าดี คือคนทั้งบ้านทั้งเมืองที่มีวิจารณญาณในการฟังอันดี จะรู้ทันทีเลยว่า ที่พูดมาไม่มีเหตุผล ไม่มีเหตุผลไม่ได้ ไม่พูด ไม่เจรจา ไม่อะไรทั้งสิ้น ต้องออก ออกไปนั่นน่ะเลือกตั้งกลับมาใหม่ เลือกตั้งกลับมาใหม่ถ้าไอ้คณะนี้กลับมาอีกก็เอาอีก ก็นั่นอีก นั่นล่ะครับ คือความไม่มีเหตุผล ทั้งหมดเนี่ยล่ะครับ ไม่มีอะไรเลยพูดมา ก็อยากจะขอบคุณสื่อทั้งหลายที่ว่า ผมมองในแง่เอาวิกฤตเป็นโอกาสล่ะครับ คือ ก็ไม่อยากให้รายงาน แต่รายงานมาก็กลายเป็นเรื่องดีไปครับ ได้รู้เลยครับว่าคิดยังไง
รายงานข่าวผู้คนคิดยังไง อ่ออย่างนี้ คนนั้นไม่เห็นด้วย คนนี้ไม่เห็นด้วย พอมองดูบอก อ๊ะ กลุ่มนี้ๆ กลัวประชามติ อ้า มีคนกลัวประชามติ เห็นมั้ยครับ ได้รู้เลย รู้ใครเป็นใครเลยเนี่ย สำนวนที่เขาพูดกันใช่มั้ย เขาเรียกว่าไผเป็นไผ ให้มันรู้ว่าไผเป็นไผ ก็ได้รู้อย่างนี้ล่ะครับ
ถามว่าตกลงนี่ เพิ่งมาพูดจาสถานการณ์ สถานการณ์พอไหวครับ พออาศัย พอเอาอยู่ เรื่องต่างๆ ความสมัครสมานสามัคคีของผู้คนที่เขาคุมกำลัง เขาทำครับ ผมไม่นั่นหรอก โอ๊ย จะไปยังไง ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็ปฏิวัติ ก็บอกเขาแล้ว แล้วเขาก็อธิบายแล้ว เขาพูดแล้วพูดอีก นี่จะไปญี่ปุ่น ก็ไปไม่ได้ เพราะฉุกเฉินนี่ฮะ ฉุกเฉินจริงๆ 1..2..3.. วันที่ 3 4 5 ไปไม่ได้ครับ ต้องกราบบังคมทูลสมเด็จพระจักรพรรดิ เฝ้าไม่ได้ เพราะทางรัฐบาลเขาถามจะไป ไม่ไป ตอบมา ต้องขอความอภัย แล้วตกลงนี่จะไปสหประชาชาติ ต้องไปพูด อ้าว จะไปสหประชาชาติ เอาอีกแล้วเหรอ นายกฯ ทักษิณน่ะไปแล้วไม่ได้กลับ ผมก็บอกว่า ยังไงก็ตามแต่ ผมต้องทำจดหมาย
วันที่ 25 เนี่ยผมจะปราศรัยองค์การสหประชาชาติ ศาลอุทธรณ์จะตัดสินคดีผม จะตัดสินคดีผม คดีหมิ่นประมาทนั่นล่ะฮะ คดีหมิ่นประมาท ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก จำคุก 2 เดือน 6 เดือน 4 หน แล้วไม่รอลงอาญาด้วย โอ้โห ก็น่ากลัวนะครับ ติดตะราง 2 ปี ไม่รอลงอาญา แล้วยังไง ก็ตัดสินก็ไม่เป็นไร ก็ตัดสิน ก็ต้องขอ ผมก็คงต้องฎีกา สุดท้าย เมื่อฎีกาแล้ว ก็ยังไง ก็จะต้องมีสลักหลังให้ อัยการสูงสุดจะต้องเป็นคนเซ็นให้ผม ว่าผมจะต้องอย่างนั้น ก็ต้องไปอีกครับ ต้องยืดไปอีก ต้องไปสู้กันศาลฎีกา ก็ไม่เป็นไร ก็บอกว่าวันที่ 25 จะตัดสิน แล้ววันที่ 25 จะพูดสหประชาชาติ ผมทำหนังสือถึงศาลแล้ว เมื่อวานนี้ วันจันทร์จะไปยื่น บอกผมจะต้องไปสหประชาชาติ ส่งรายการไปให้ดู ต้องไปนั่น ต้องไปประชุม ประชุมทูตนี่ประเทศโน้นในยุโรป มีรายการยาวเหยียดเลยครับ อู๊ย ยังจะคิดไปอีก บ้านเมืองอย่างนี้ ผมบอกว่าผมจะต้องไปเนี่ย เพื่อให้คนในโลกเขาเห็นว่าบ้านเมืองนี้สถานการณ์เนี่ย มันมีอยู่ตรงสี่เหลี่ยม เศษ 1 ส่วน 4 ตารางกิโลเมตร อยู่ทำเนียบรัฐบาล จะเสียหน้าเสียตา มันเสียไปแล้ว เขาจะอับอายขายหน้าไปแล้ว เขาประกาศชัยชนะ ยึดทำเนียบฯ ได้ ก็คือชัยชนะ ไม่มีกฎหมาย เว้กๆ ไปอย่างนั้นเอง
แต่ในโลกนี้เขาเฝ้าดูครับ ผมจะเล่าให้ฟัง ต้องขอประทานโทษนะครับ ทูตทหารเขาขอพบ ผบ.ทบ.ขอพบสนทนา เขาบอกว่าถ้าเผื่อปฏิวัติล่ะเขารับไม่ได้ ผบ.ทบ.บอกไม่หรอก ไม่ปฏิวัติ ไม่มีเหตุผลจะต้องทำอย่างนั้น ผมไปงานทูต ไปงานสถานทูตอังกฤษ เขาบอกเลยครับ เขาบอกปฏิวัตินี่เขารับไม่ได้ เขาบอกปฏิวัติโดยประชาชน โดยไม่มีเหตุผล เขาก็รับไม่ได้ เขาเฝ้าดูตลอดหมด คือ ทูตเขาดูเหมือนกับคนอยู่ในบ้านเรา เขารู้ ผมก็บอกว่า โอเค เข้าใจ ผมเข้าใจ ผมก็บอกว่าผมก็ทำอย่างว่า อธิบายความ ผมถึงยืนหยัดได้ว่า ผมจะต้องรักษาระบอบ รักษาบ้านเมืองไว้ เพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของเราเอาไว้ เหตุเกิดมันอยู่ตรงหย่อมผู้คน ต้องใช้คำว่า "หยิบมือ" ถ้าเทียบกับ 63 ล้านคน ใครจะเข้ามาแห่ห้อมมาเติมก็ได้ คนมาเท่าไรๆ 100% 10% จะเคลื่อนไหว ทางพวกบรรดาวิทยุทั้งหลายประโคมกันใหญ่ แต่ว่าอีก 90% เขารักษา น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ ไปรษณีย์ เขาบอกเขารักษา ก็เป็นอันว่าถ้าเรารู้อย่างนี้ เราเข้าใจอย่างนี้ เราก็คิดว่าบ้านเมืองก็อยู่ได้
โอ๊ย อย่าไปนะ ไม่กลัวทหารเขาปฏิวัติเหรอ ถ้าทหารเขาปฏิวัติเขาก็ต้องเสียรังวัดเขาเท่านั้น เขาประคับประคองดูอย่างนี้ เขาคิดว่าเขาไม่ปฏิวัติ แล้วก็รักษาบ้านเมือง ดีกว่าปฏิวัติ เพราะอะไร วันนั้นนักข่าวบอกไม่กลัวสงครามกลางเมือง ผมบอกมันจะสงครามกลางเมืองยังไง ในเมื่อพวกที่เขาอยู่ทำเนียบฯ เขาบอกเขาอหิงสา เขาไม่มีอาวุธ ทหาร ตำรวจ ก็ถือแต่โล่ ถือกระบอง ไม่มีอาวุธ แก๊สน้ำตายังไม่กล้าใช้เลยครับ เกิดใช้แก๊สน้ำตาไอ้บ้าที่ไหนยิงเข้ามา ก็กลายเป็นว่ากำลังสอบเกี่ยวกับรายละเอียดเนี่ย โอ๊ย เป็นข่าวเอิกเกริก หนังสือพิมพ์พาดหัวกันใหญ่ ใช้แก๊สน้ำตาแล้ว นั่นแล้ว แล้วเป็นไงครับ จะจุดเท่าไรมันก็ไม่ติด ทำเท่าไร เลือดก็ไม่นอง ออกซิบๆ ก็คงพอมีบ้าง
เพราะงั้นผมก็บอกว่า ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ ผมจะไปอยู่สหประชาชาติ ทางนี้จะยึดอำนาจ ท่านก็พิจารณาดูก็แล้วกันว่าสมควรมั้ย แต่ว่าถ้าผมอยู่และก็ยังเป็นนายกรัฐมนตรี รักษาบ้านเมืองได้ มันก็เป็นหน้าตาของประเทศไทยว่าสถานการณ์ว่าใครจะว่าเลวร้าย แต่นายกรัฐมนตรีไปปราศรัยที่สหประชาชาติได้ จะได้คุยกับคุณบัน คี-มุน ตามที่นัดหมายกันไว้ได้ จะได้แวะประชุมทูตทางยุโรปได้ ทำอะไรได้ ก็แปลว่าถ้ามันพออาศัยก็จะไป แน่นอนครับ ถ้าเกิดจลาจลอะไรมันไปไม่ได้หรอกครับ ถ้าเกิดจลาจลหรืออะไรน่ะ แต่มันไม่มีจลาจล ยังไงก็ไม่มีจลาจลครับ เพราะว่ามันทุกอย่างเข้าที่ จนถึงวันนี้เนี่ย ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองรู้แล้วครับ ว่าอะไรเป็นอะไรยังไง ผมจะคุยเพียงเท่าเนี้ย เหลือเวลา เขาบอก 10 นาที ตอบคำถามหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะบอกมาจัดรายการแห้งอีก
รายการออกกรมประชาสัมพันธ์วันนั้นเขาบอกแห้งนะครับ ไม่น่าเชื่อ มันตลกนะสมัยนี้ ฮ่ะๆๆ เอ้าตอบคำถามหน่อย อ่อ
อยากให้หาพระที่เทศน์เก่งๆ มาเทศน์เตือนสติประชาชน
- อ่อ เก่งๆ ก็มีหลายรูปนะครับ พระพยอมก็ได้ ท่านวัดสุทัศน์ท่านก็เก่ง ว.วชิรเมธี ท่านก็ใช้ได้นะครับ ท่านก็ช่วยงาน ก็นั่นล่ะครับ แต่ว่าองค์ที่ท่านก็ค่อนข้างจะไม่ปกติ ท่านอะไร เดี๋ยวนี้ท่านเป็นเจ้าคณะรองอยู่นครปฐมเนี่ยนะ ท่านเจ้าคุณประยุตธ ท่านเป็นพระพรหมคุณาภรณ์ องค์นี้ล่ะครับ รูปเนี้ยล่ะครับ เจ๋งล่ะครับ แต่ว่าไม่กล้ารบกวนท่าน เพราะว่า ฮ่ะๆ ท่านอาพาธอยู่บ่อยๆ ก็ได้รับหลักการ เรื่องอย่างนี้พระท่านทำให้เอง เราไม่ต้องไปขอร้องท่านนะครับ
ให้ท่านนายกรัฐมนตรีหนีความวุ่นวายจากเมืองกรุงมาเยี่ยมเยียนถิ่นฐาน จ.ขอนแก่น บ้าง
- อ้าว
ที่มีแต่ความอบอุ่นให้ท่าน
- โห ถ้างั้นคงแดดแรงนะครับเนี่ย
แล้วท่านจะได้รับการสนับสนุน
- ความจริงไปเฉียดขอนแก่นนะ คือ อย่างนี้ ผมจะเล่าให้ฟัง สาเหตุที่จะไปประชุม ครม.สัญจร วันอังคารนี้ ก็เพราะเหตุว่าไปขอยืมสถานที่เขา แล้วไปๆ มาๆ ก็ ก็เขาบอกว่าสัญจร ก็เห็นด้วย สัญจรที่ไหนล่ะครับ บอกสัญจรยังไงเดี๋ยวใครเขาไปก่อกวน ก็ไปเมืองที่ไม่มีคนก่อกวน ก็ไปจังหวัดที่มี ส.ส.อยู่ 10 คน เป็น ส.ส.พลังประชาชนทั้งหมด 10 คน อย่างนี้ปลอดภัยมั้ย ปลอดภัยครับ ไม่มีหรอกครับ ที่แล้วมาใครต่อใครไปฟาดกันไม่ทราบ แต่ว่าเราไม่ได้ไปหาเรื่อง เราประกาศเลย ไปเลยครับ แล้วบ่ายโมงจะมีคลินิก คลินิกการเกษตร คลินิกมหาดไทย ไปทำโน่น ต่อใบขับขี่ ไปทำให้ แล้วก็เย็นๆ รัฐบาลก็พบ รายงาน 7 เดือน รายงานประชาชน รุ่งขึ้นเช้าก็ประชุม ครม. ไปดู ไปมอบธงอะไรกับเขาหน่อย ก็ดำเนินการ ก็จะดีครับ ถัดไปก็จะหาจังหวัดที่พร้อมจะเป็นได้ ก็จะนั่น ก็เกรงใจทางโน้นเขาเหมือนกันครับ ไปใช้สถานที่เขา ก็ให้มันเคลื่อนที่เสียบ้าง นี่ขอบคุณครับที่ส่งความเห็นอันนี้มา
ทำไมรัฐบาลไม่เอานักวิชาการมาเป็นทีมงาน เพราะมีความน่าเชื่อถือ ประชาชนไว้ใจ
- ผมจะบอกให้ฟังนะครับ ผมทำงานตามมาตรฐานปกติ นักวิชาการไม่ต้องถูกชักชวนมาเป็นเครื่องมือของรัฐบาล ในความเห็นของผมนักวิชาการก็อยู่นักวิชาการ ท่านจะคิดจะเห็นยังไงท่านต้องทำด้วยตัวท่านเอง มาบวกโยงรัฐบาลไม่ได้เลยครับ นักวิชาการมากับรัฐบาลเขาก็เสียความเป็นอิสระของเขา ผมต้องถือเรื่องอย่างนี้ครับ นักวิชาการจะพูด เห็นตัววิ่งเข้ามาก็ขอบพระคุณ แต่ว่าไปชักจูงไปทำไม่ได้ครับ รัฐบาล Propaganda มั้ย ไม่ ไอ้คน Propaganda นี่ คนนี้คนเดียวนี่ล่ะครับ ไม่ใช่ว่าอวดเก่งนะครับ แต่ว่าต้องการความรอบคอบนุ่มนวล แล้วไม่ให้ชักจูงอะไรต่างๆ ผมรับผิดชอบ ผมพูดเอง อธิบายความเอง แล้วรายการอย่างนี้ล่ะครับ รายการจากปากผมถึงหูท่านพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ท่านต้องใช้วิจารณญาณดูให้ดีก็แล้วกันครับว่าสถานการณ์บ้านเมืองมันเป็นยังไง มันทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เห็นมั้ยครับ ไม่มีเหตุ แล้วพวกที่มาเรียกร้อง เป็นใครจากไหน ยังไง ที่ผมอยากให้ท่านตั้งข้อสังเกตก็คือคนมีความรู้ มีการศึกษามากมาย ก็ตกลงหันหน้ามาชี้บอกไอ้คนที่ผิดคือไอ้สมัคร ผมบอกไม่ได้ ชี้ได้ครับ แต่ผมอธิบายความให้ฟังว่า ผมไม่ใช่อย่างนั้นล่ะครับ ทำไม แล้วคนพวกนั้นเป็นยังไง ไม่มีใครไปแตะไปต้อง ไม่มีใครกล้าไปทำอะไร เป็นอะไรมาจากไหน ยังไง ถึงได้หันมาตกลงมาเล่นงานรัฐบาล แม้กระทั่งในสภา ก็บอกไอ้นายสมัคร มันผิดยังไง มันเลวยังไง พูดไปก็บอก เอ๊ย สมัครดิ้นเอาตัวไม่ผิด ก็ไม่ผิดล่ะครับ ผมทำงานให้บ้านเมือง ผมทำงาน ผมไม่มีผลประโยชน์ ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ถ้าผมพ้นไปผมพร้อมอยู่แล้ว แต่เวลานี้มารับหน้าที่อยู่ ถ้าไม่ดูอยู่ตรงนี้ กระโดดลงเรือหนีไป ไม่ได้หรอกครับ ผมทำไม่ได้เลย เพราะนี่ก็บ้านเมืองของผม
สำคัญที่สุด สถาบันพระมหากษัตริย์ ผมจะต้องเป็นคนอยู่เฝ้าดูแลเรื่องนี้ เพราะผมชักสังหรณ์ใจ ชักสังหรณ์ใจ ชี้หน้าคนโน้น คนนี้ คนนี้ พวกที่ปลุกระดมกันทั้งหลายเนี่ย เอ๊ะ ออกปากกันเอิกเกริกซะงั้น ผิดปกติครับ แสดงความจงรักภักดีผิดปกติ เพราะยังไงครับ เพราะไปเหยียบย่ำคนอื่นที่เขาไม่ได้แสดง ไม่ได้ออกมา ผมถือว่าเหยียบย่ำความรู้สึกของตำรวจ ทหาร ที่เขารักพระเจ้าอยู่หัว เทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวด้วยใจ แต่ไอ้นี่อะไร ปากบอกรักเทิดทูนอะไรต่างๆ ใส่เสื้อ ใส่อะไร เหยียบย่ำ มันกลายเป็นว่า เออ แล้วคนที่เขาไม่ได้แสดงออกอย่างนี้ เขาไม่จงรักภักดีเหรอครับ อ่ะ เห็นมั้ยครับ คนที่เขารักพระเจ้าอยู่หัวด้วยใจ รักพระราชวงศ์ด้วยใจ มีเท่าไหร่ แล้วคนที่มาพูดจาอย่างนี้ จะมายกย่องสรรเสริญคนพวกนี้ บอกโอ๊ย เขารักเทิดทูน แล้วคนที่เขาไม่พูดเขาไม่เสียรังวัดแย่เหรอครับเนี่ย คนที่เคารพนับถืออยู่ในหัวใจเลย เขาไม่เสียรังวัด เขาไม่ตายเหรอครับ ในเมื่อคนพวกนี้มาแล้วเอาความจงรักภักดีไปเหยียบย่ำคนอื่น ไม่ได้หรอกครับ ผมถึงสังหรณ์ใจว่า เอ๊ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดอะไรขึ้น เพราะดูแล้ว เอ๊ะ คนพวกนี้คิดอะไรยังไง คิดอย่างไม่เป็นประชาธิปไตย คิดอยู่ดีๆ การปกครองระบอบประชาธิปไตย ดันเสนอความคิดบอกจะเอา 30-70 จะแต่งตั้ง 70 เลือกตั้ง 30
โอ๊ะ แล้วนี่ประชาธิปไตยอะไรครับนี่ นี่คิดแบบประเทศอะไรครับเนี่ย นี่คิดแบบลัทธิอะไรครับเนี่ย ไม่นั่น ไม่โน่น ไม่นี่อะไรต่างๆ มองลึกๆ เข้าไป เอ๊ะ ต้องร้องเอ๊ะ ต้องฉุกคิดว่า ไอ้คนพวกนี้มันเป็นไง นี่ถ้าสมมุติไปเกิดเห่อเหิม ยกย่องสรรเสริญไป ได้อำนาจรัฐไป โดยอะไรก็ไม่รู้เนี่ย แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองนี้ครับเนี่ย จะต้องตั้งสภาใหม่หรือไง แล้วมีสภาขึ้นมา แล้วก็ให้เลือกตั้งแค่ 30% แต่งตั้ง 70% บ้านเมืองจะบริหารด้วยอะไรยังไง มันไม่รู้อะไรทั้งสิ้นครับ แต่ว่าคนดีมีความรู้ทั้งหลาย ไปยกย่องสรรเสริญ ไปส่งเสริม เออ ผมต้องทำความประหลาดใจ ในที่สุดคนอย่างผมเนี่ย ทำงานมา 7 เดือน โดนเหยียบย่ำ โดนชี้หน้า แล้วรวมความกัน ผมบอกด้วย สื่อสารมวลชนด้วยนะ ทั้งบทความ ทั้งข้อเขียน นายสมัครไม่ดูตัวเอง ไม่เห็นความผิดของตัวเอง เออ ว่ากล่าวผมได้ โดยผมต้องแน่ใจว่าผมต้องเถียง เพราะผมไม่เป็นอย่างนั้น แต่ไอ้คนที่ทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน ยึดทำเนียบรัฐบาล บรรดาสื่อสารมวลชนทั้งหลายไม่แตะต้อง ไม่ตำหนิ ไม่เอ่ยถึง
ผมต้องร้องถามพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ว่าบ้านเมืองนี้มันเป็นอะไรครับ มันเกิดอะไรขึ้น เกลียดนายกฯ คนเก่าก็เอาไป แต่มาลากผมด้วย ไม่ได้ครับ เหยียบย่ำนายกฯ คนเก่าไป ยังไง เขาก็จะตายทั้งเป็นแล้ว ก็จบไปอย่างนั้น แต่ผมไม่ได้ครับ ผมไม่ยอมให้ผมมาตายทั้งเป็นเพราะอย่างนี้ นั่นล่ะทำไมผมถึงมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกลาโหม ทำไมผมถึงทำงานกับกระทรวงกลาโหม ทำงานกับกองทัพ ทั้ง 3 บวกทั้งกองบัญชาการทหารสูงสุด ทำไมผมทำงานกันได้ ทำไมผมย้ายทหารรอบหนึ่งเมื่อเดือนเมษาฯ ผมย้ายเมื่อคราวที่แล้ว ไม่เป็นปัญหาหรอกครับ นั่นก็คือความบกพร่องที่เราแลเห็น คือ รัฐบาลไปยุ่งกับเขา แล้วจนกระทั่งเขาไม่พอใจ เกิดเหตุเขี่ยไกปั๊บ พลิกทันที รัฐบาลไป
แต่รัฐบาลนี้นะครับ ทำงานอยู่กับคนที่ดูแลความมั่นคงของบ้านเมือง ทำงานถวายเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ทำงานให้ดูแลบ้านเมืองทั้งหมด ผมแน่ใจว่าผมทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่บัดนี้คนพวกหนึ่งจัดการยึดทำเนียบ ทำอะไรต่างๆ เหยียบย่ำ แล้วชักชวนผู้คนโดยใช้โทรทัศน์ปลุกระดม ล่อหลอก เสร็จแล้วปรากฏว่าสื่อสารมวลชนที่มีวิจารณญาณอันดี กลับหันมาชี้ที่ว่า ไอ้นายกฯ เนี่ยต้องพิจารณาตัวเอง แม้แต่คนในสภา แม้แต่คนมีวิชาความรู้ ก็บอกนายสมัคร ไม่พิจารณาตัวเอง นายสมัครมันผิดมาตั้งแต่ต้น ไม่ครับ ผมต้องเถียงเลย แล้วผมไม่ยอมให้ใครทำกับผมอย่างนี้
เอ้า อ่านคำถามอีกหน่อย นักวิชาการไม่เอามานะครับ เพราะว่าเกรงใจเขาครับ เขาควรจะเป็นอิสระของเขา
อยากได้คำแนะนำว่าจะสนับสนุนอย่างไร อยากแสดงก็ไม่รู้จะทำยังไง
- ท่านอยู่ในที่ตั้งครับ อยู่ในบ้าน ไม่ต้องออกมา ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ต้องออกมายุ่งกับเขาเท่านั้นล่ะครับ ปล่อยให้เขาอยู่ตรงเขาเท่านั้น ไม่เป็นปัญหา ยิ่งถ้าไม่เข้าไปยุ่งในทำเนียบฯ ยิ่งดีใหญ่ เพราะเมื่อวันก่อนไปก็ลูกเห็บตกนะ ลูกเห็บตกในทำเนียบ กรมอุตุฯ บอกว่าปกติ ผมก็เถียงกรมอุตุฯ ว่าไม่ปกติ เพราะว่าผมในตลอดชีวิตผม 73 ปี ปีนี้ ไม่เคยเห็นลูกเห็บตกที่ทำเนียบรัฐบาล เอ้า ผมเถียงกรมอุตุฯ ล่ะครับ จะอธิบายทางวิทยาศาสตร์ยังไงก็สุดแท้แต่นะครับ ก็ต้องยืนยันนะไม่ได้เอาเครื่องบินใส่น้ำแข็งไปโปรย เดี๋ยวจะมาพูดจา
เหตุการณ์ปิดสนามบินภาคใต้ คนใต้ไม่ชอบ เพราะทำให้เศรษฐกิจแย่
- คนใต้ไม่ชอบ ต้องพูดกับคนไปปิดครับ ผมน่ะไม่กล้าแม้กระทั่งจะตั้งข้อสังเกต ว่าทำไมทั่วประเทศ ทางเหนือก็สนามบินเยอะ ทางอีสานก็สนามบินเยอะ แต่ทำไมปิดแต่ทางใต้ รถไฟทางเหนือทางอีสานเดินได้ แต่ทางใต้ไม่เดิน เรื่องนี้คนใต้ต้องพูดกับคนใต้แล้วครับ ผมน่ะไม่กล้าไปแตะต้องหรอกครับ กลัวจะเกิดปัญหา
ถ้าทำประชามติ ขอให้ทำเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย
- มันจะรุงรังพันเตครับ มติอันเดียวยังออกมาไม่ได้เลยนะครับ
ขอให้ช่วยกันดูแลหนี้นอกระบบราชการทหาร
- โอ๊ย ดูแลแน่ เพราะผมชอบเรื่องนี้ เพราะผมนี่ล่ะครับเป็นคนแก้ปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบ โดยเอาเข้ามาในระบบ แล้วมีการอธิบายให้ฟังได้ด้วยว่าโดยวิธียังไง ทำได้แน่นอนครับ
ค่าทางด่วนที่เพิ่มขึ้น ลดเท่าเดิม
- ลดไม่ได้หรอกครับ คือถ้าเขาขึ้นราคาไปก็วิ่งข้างล่าง อย่าไปขึ้น เขาไม่ได้บังคับหรอกครับ ถ้าจำเป็นต้องซื้อเวลาก็ขึ้นไป 5 บาท เขาตกลงกันแล้วนะ 5 ปีเขาถึงจะปรับครับ ผมไม่เข้าข้างใครออกใครหรอกครับ คือถ้าเผื่อคิดว่ามันแพงไปก็วิ่งข้างล่าง
ให้กำลังใจนายกฯ
- อ่ะ ครับๆ
เจ้าหน้าที่รถไฟสายใต้ ไม่มีความรับผิดชอบ ประชาชนเดือดร้อนมาก อยากให้ท่านนายกฯ แก้ไข
- ต้องกราบเรียนท่านพี่น้องประชาชนทางภาคใต้กรุณาเถอะครับ ช่วยพูดกันหน่อยนะ
ทำไมรัฐบาลไม่ให้ผู้สูงอายุขึ้นรถเมล์ฟรี
- โอ๊ย ก็เด็กๆ ก็ขึ้นฟรีครับ อายุกลางๆ ก็ขึ้นฟรี สำหรับที่เขาให้ฟรีนะ แต่ไอ้เรื่องรถเมล์ฟรีสำหรับผู้สูงอายุ ผมจะไปดูอีกที
รถเมล์ฟรีไม่ได้นั่งฟรีจริง สาย 4 สาย 1 วิ่งคลองเตย อยากให้นายกฯ ช่วย
- เดี๋ยวผมไปดูให้เรื่องนี้ เดี๋ยวๆ ผมจะไปดู
ให้เพิ่มรถเมล์สายรังสิต-ปทุมธานี
- เอาล่ะครับๆ
เงินดำรงชีพข้าราชการบำนาญที่จะเพิ่มให้ 2 แสน ผ่านเข้ามา
- เดี๋ยวไปดูให้นะครับ ตอบคำถามทันทีไม่ได้
ช่วยเหลือคนพิการด้านอาชีพและเงินช่วยเหลือ
- ครับๆ อันนี้จะรับไปดูให้
ช่วงสถานการณ์บ้านเมืองวุ่นวายขณะนี้ ขอให้มีการตรวจบัตรประชาชนอย่างเข้มงวด ประชาสัมพันธ์ประชาชน
- แหมตรวจบัตรประชาชนก็แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้หรอกครับ
การวิ่ง 116 วัน วิ่งภายในจังหวัด จนถึงวันที่ 1 ธันวาฯ อ่อ วันที่ 3 ธันวาฯ แต่ละจังหวัดมาลานพระรูป กำหนดการรับมีการเปลี่ยนแปลงไหม
- ครับๆๆ เข้าใจแล้วนะ เขาไม่ได้ร่วมเดินทางมานะครับ เขาวิ่งในจังหวัดครับ ธงก็ไว้ในจังหวัด วิ่งให้ครบ ถึงใกล้ๆ วันที่ 3 แล้วเขาก็จะมาด้วย ยังไงก็สุดแท้แต่ การมาก็มารวมกันอีกที เขากลัวผมเข้าใจผิด
สุดท้ายครับ เกินไป 1 นาที ดูหนังสือพิมพ์หน่อย ฮ่ะๆๆๆ เขาบอกอย่างนี้ ผบ.เหล่าทัพ หารือสถานการณ์ สมัครเช็กวุ่น เคลียร์ประเด็นรวบอำนาจ ฮ่ะๆๆๆ ไม่ล่ะครับ ไม่มีล่ะครับ ไม่ได้วิ่งไม่ได้เช็กวุ่น รายการเมื่อวันก่อน วันเสาร์ฟังนะ ลับ ลวง พราง แหม ผู้หญิง-ผู้ชายคุยกัน อู๊ย รู้ดีทุกอย่างครับ รู้ดีทุกอย่าง นายสมัครรุดเข้าที่นั่น นายสมัคร ไปพบที่นี่ ไม่ล่ะครับ สมัครนอนอยู่ที่บ้าน ไม่มีปัญหาหรอกครับ ไอ้รายการของคุณน่ะครับทำให้ปั่นป่วน คนฟังก็ หูย วงในสายในจริง ไม่ครับ ขอประทานโทษนะครับ เกินไป 2 นาที วันอาทิตย์หน้า 8 โมงครึ่งพบกันใหม่นะครับ วันนี้ลาก่อนครับ สวัสดีครับ