“ทีมโฆษกรัฐบาล” ผิดเวทีฟาดปากโต้ ปชป.ปฏิเสธระดมมวลชนก่อเหตุนองเลือด ใส่ร้ายพันธมิตรฯ ยิงกระสุนเหล็กเข้าไปในกระทรวงศึกษาฯ ป้ายสีเกิดความขัดแย้งกันภายในกลุ่มการ์ด พาลหาเรื่องชี้มีการซ่องสุมอาวุธภายในการชุมนุมขู่จัดการขั้นเด็ดขาด
วันนี้ (22 ส.ค.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงตอบโต้ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาระบุว่าพรรคพลังประชาชนมีแผนระดมกลุ่มมวลชน หรือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) เพื่อต้องการให้เกิดการปะทะ และช่วยล้มคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ขอเรียนว่าไม่เป็นความจริง ไม่มีมูลข้อเท็จจริงแต่อย่างใด และไม่มีแนวคิดดังกล่าว หากจะมีการเชิญชวนประชาชน หรือมวลชนก็คงจะเป็นเรื่องการเชิญชวนให้เข้าร่วมโครงการของรัฐบาลที่จะจัดงาน “116 วันจากวันแม่ถึงวันพ่อ” ขอร้องว่าอย่าใช้จินตนาการเพื่อสร้างแรงเสียดทานทางการเมืองต่อรัฐบาล
รองโฆษกฯ กล่าวด้วยว่า ตนได้รับข้อมูลเชิงลึกว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเป่านกหวีดใหญ่ครั้งสุดท้าย ซึ่งเรื่องนี้ขอให้พรรคประชาธิปัตย์พิจารณาดูเองดีกว่า เนื่องจากวันนี้สถานการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มรักษาความปลอดภัยของพันธมิตรฯ ได้มีการยิงกระสุนเหล็กไปยังหน้าต่างของกระทรวงศึกษาธิการ หรือเหตุการณ์ด่าทอสื่อมวลชน ช่างภาพ ตนขอเรียกร้องให้ทางแกนนำพันธมิตรฯ ออกมารับผิดชอบต่อการกระทำของการ์ดรักษาความปลอดภัย และควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของคนเหล่านี้ให้อยู่ในกรอบกฎหมาย
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า มีรายงานด้านการข่าวแจ้งว่ามีความแตกแยกขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในกลุ่มคนที่เป็นการ์ดรักษาความปลอดภัยในกลุ่มพันธมิตรฯ โดยกลุ่มนักรบศรีวิชัย กับ รปภ.อาสา ซึ่งอยู่ในความดูแล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งไม่สามารถระงับเหตุได้จนมีการชักอาวุธปืนเพื่อกดดันกัน ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ไม่มีกลุ่มนักรบศรีวิชัยอยู่แล้วเนื่องจากมีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ มีเพียงการแต่งตัวให้คล้ายคลึงเท่านั้น และมีเพียงนักรบชากังราว นักรบพระเจ้าตาก กลุ่มนักรบกรมหลวงชุมพร ตนจึงเรียนมาเพื่อให้ประชาชนรับทราบ และที่ออกมาพูดไม่อยากให้กลุ่มพันธมิตรฯ สร้างอาณาจักรส่วนตัว สะท้อนถึงการจัดการของพันธมิตรฯ ที่มีสถานการณ์ล่อแหลม ไม่มีใครควบคุมได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมและสื่อมวลชนด้วย
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า รัฐบาลกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดูแลอย่างใกล้ชิดและเรียกร้องให้แกนนำพันธมิตรฯ รับผิดชอบตรงนี้ด้วย ซึ่งแนวคิดการจัดการของรัฐบาลยังคงใช้แนวทางสันติวิธี แต่หากพบว่ากลุ่มพันธมิตรฯ มีการส่องสุมอาวุธปืนที่ไม่ถูกกฎหมายอีกจะให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลจัดการอย่างเด็ดขาดกับบุคคลนั้นๆ