“สามเกลอหัวเกรียน” ผลาญเงินรัฐ ใช้ NBT เป็นกระบอกเสียงแก้ตัวเรื่อง “ไข่แม้วดำ” ถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นเบื้องสูง อ้างเป็นเรื่องที่ถูกกลั่นแกล้งจากเผด็จการ-ขุดข้อมูลใบปลิวโจมตี “สนธิ” อ้าง เป็นคนเก่งแต่บารมีน้อยเลยได้ดีไม่เท่า “แม้ว” จึงปลุกระดมมวลชนออกมาต่อต้าน
วานนี้ (20 ส.ค.) รายการ “ความจริงวันนี้” ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย โดยมี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชนเป็นแขกรับเชิญประจำรายการ
เนื้อหาในรายการช่วงแรก นายวีระ ได้กล่าวถึงกรณีที่วันนี้มีกระแสข่าวออกมาตามเว็บไซต์ และสื่อช่องต่างๆ ว่า ตนได้ถูกศาลอาญากรุงเทพ ออกหมายจับในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอีกครั้ง ซึ่งคาดว่า วันพรุ่งนี้คงจะเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อีก ทั้งนี้ ตนอยากจะบอกว่าข่าวก็คือข่าว ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าข่าวนี้มีการรายงานช้าไปหน่อย เนื่องจากคดีดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือน พ.ค.2550 อีกทั้งตนก็ได้ไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม และก็ได้รับการประกันตัวเมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา
นายวีระ ได้นำเนื้อหาบางส่วนที่กล่าวบนเวทีปราศรัยที่ท้องสนามหลวง จนเป็นมูลเหตุทำให้ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีมาอ่านในรายการ โดยอ้างข้อความที่ตนพูด ถูกตัดไปเพื่อแจ้งความในข้อหาว่าตนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ดังนั้น ตนจึงอยากถามไปยังผู้ชมด้วยว่ามีส่วนไหนหรือที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งตนมั่นใจว่าไม่ผิด ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้านำมาอ่านอีกครั้ง เพราะหากข้อความนี้ถือเป็นความผิดจริง ตนจะต้องรับโทษ 2 เท่า เพราะนำมาเผยแพร่อีกครั้งในรายการวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามตนเชื่อมั่นว่า ข้อความดังกล่าวข้างต้นนั้น ไม่มีส่วนใดเลยที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
นายวีระ อ้างว่า เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่อำนาจเผด็จการ ต้องการจะเล่นงานตนและพรรคพวกเท่านั้น คมช.จึงให้มีการแจ้งความดำเนินคดีนี้ ซึ่งตนเชื่อว่าหากบ้านเมืองอยู่ในสภาวะปกติ ข้อความแบบนี้คงไม่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีแน่ แต่ที่ถูกฟ้องก็เพราะเป็นการพูดในวันที่อำนาจรัฐประหารครองเมืองอยู่ ดังนั้นจึงอยากบอกไปยังผู้ชม และคนที่เป็นห่วงตนด้วยว่า ไม่ต้องเป็นห่วงปล่อยให้เรื่องนี้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป เพราะตนมั่นใจในความบริสุทธิ์ ของตัวเอง ว่าสิ่งที่กล่าวไปไม่ได้มีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างแน่นอน
ด้าน นายจตุพร กล่าวเสริมว่า หากฟังดูแล้วก็จะรู้ได้เลยว่าข้อความข้างต้น เป็นเรื่องของการแสดงความคิดเห็นตามแบบวิญญูชนเท่านั้น แต่ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่ถูกฟ้องร้อง เพราะเมื่อครั้งที่นายวีระและพวกตนต่อสู้กกับอำนาจเผด็จการอยู่นั้น ก็ถูก คมช.ฟ้องร้องอยู่หลายคดี ซึ่งหากนายวีระไม่นำข้อเท็จจริงมากล่าวในรายการคืนนี้ เชื่อว่า พรุ่งนี้กลุ่มต่างๆ รวมไปถึงกลุ่มพันธมิตรฯ คงเดินหน้านำเรื่องนี้มากล่าวอย่างบิดเบือน ตลอดจนเดินเกมไปเรื่อย ๆ ว่านายวีระ ได้ทำการหมิ่นสถาบันจริง และท้ายที่สุดก็มาบีบให้เลิกจัดความจริงวันนี้
ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ได้กล่าวประชดประชันว่า สาเหตุที่คดีของ นายวีระ ซึ่งเรียบร้อยไปแล้วตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่ไม่ค่อยโด่งดังก็เพราะ นายวีระเดินทางไปมอบตัวแบบคนปกติ ไม่เหมือนบางคนที่เมื่อไปมอบตัวในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นกัน ต้องยกกันไปเป็นขบวน ไปปิดถนนกดดันตำรวจ
นายวีระ จึงกล่าวต่อว่า เมื่อพูดถึงคนๆ นี้แล้ว ก็ต้องกล่าวถึงเสียหน่อย เพราะวันหนึ่งคนๆ นี้อาจกลายเป็นผู้นำประเทศก็ได้ เพราะตอนนี้เขาก็เป็นผู้นำม็อบอยู่ที่เวทีสะพานมัฆวาน และเขาก็มีบทบาทมากในเรื่องต่างๆ เขาคือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และเพื่อให้ดูมีความเป็นกลาง เพราะหากตนกล่าวข้อมูลเองจะถูกกล่าวหาว่าลำเอียง ตนจึงขออ้างประวัติของนายสนธิ จากหนังสือของ นายพีระ ชัยมณี ซึ่งจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์สนามหลวง
อย่างไรก็ตาม นายวีระ ไม่ได้อธิบายว่า นายพีระ ชัยมณี คนเขียนหนังสือดังกล่าวเป็นใครมาจากไหน มีความน่าเชื่อถือของข้อมูลในหนังสือมีมากน้อยเพียงใด
จากนั้น นายวีระ ได้นำข้อมูลจากหนังสือดังกล่าวมาอ่าน ซึ่งกล่าวถึงประวัติของนายสนธิตั้งแต่ ประวัติการศึกษา สถานภาพทางครอบครัว บุตร ประวัติการทำงาน และเน้นหนักไปที่การกล่าวถึง การดำเนินธุรกิจของนายสนธิ โดยอ้างว่าการบริหารธุรกิจของนายสนธิล้มเหลว จนประสบปัญหาขาดทุน จนนำมาซึ่งการถูกศาลตัดสินให้เป็นบุคคลล้มละลาย
ทั้งนี้ จะเห็นว่า ข้อมูลที่ นายวีระ นำมาอ่านนั้น เป็นข้อมูลที่เคยปรากฏอยู่ตามเว็บบอร์ดต่างๆ ของฝ่ายผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งใบปลิว ตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งนายสนธิร่วมเป็นแกนนำพันธมิตรฯ ออกมาขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงทั้งเรื่องตัวเลข จำนวนเงิน ช่วงเวลา นั่นเพราะเป็นข้อกล่าวหาลอยๆ ที่พูดกันปากต่อปากเพื่อต้องการทำลาย นายสนธิ โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง
นายวีระ อ้างว่า นายสนธิ เคยสนับสนุนพรรคไทยรักไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถึงขั้นกล่าวชื่นชมว่าบริหารบ้านเมืองได้ดีมาก พัฒนาประเทศได้เป็นอย่างดี
นายวีระ ยังได้บิดเบือนว่า นายสนธิ สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงขั้นจะเขียนหนังสือชื่นชม พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดในโลกทีเดียว เพราะหวังจะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ช่วยฟื้นธุรกิจให้ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ช่วยเท่าที่จะช่วยได้ และจุดแตกหัก คือ การที่ นายสนธิต้องการจะมีช่องฟรีทีวีเป็นของตัวเอง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ช่วย รวมถึง นายสนธิ ต้องการให้คนใกล้ชิดได้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ต่อไป แต่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท.ขณะนั้นให้ไม่ได้ ซึ่ง นายวีระ อ้างว่า ข้อมูลเหล่านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนเล่าให้ลูกพรรคไทยรักไทยฟังเองเมื่อครั้งลูกพรรคสอบถามถึงสาเหตุที่ขัดแย้งกับนายสนธิ
นายวีระ อ้างว่า นายสนธิ เริ่มโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการหยิบยกประเด็นการเข้าไปนั่งทำพิธีในวัดพระแก้ว ตามด้วยกรณีการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เหมือนเป็นการตั้งสังฆราชองค์ใหม่มาซ้อนองค์เดิม ซึ่งการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะไม่สัมฤทธิ์ผลเลย หากหลวงตามหาบัว ไม่หลงเชื่อแล้วออกมารับลูก เต้นตามไปกับนายสนธิ เมื่อหลวงตาบัวออกมาร่วมพาพระป่าออกมาสนับสนุน
เห็นได้ชัดว่า คำกล่าวของ นายวีระ คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง โดยนายสนธิเคยชี้แจงหลายครั้งแล้วว่า สาเหตุที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงแรกเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นฝ่ายไปขอพบก่อนวันเลือกตั้งไม่กี่วัน แล้วขอให้ช่วยสนับสนุนเพราะอยากทำประโยชน์ให้บ้านเมืองหลังจากที่ตนเองร่ำรวยพอแล้ว แต่หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ปีที่ 2-3 ก็มีพฤติกรรมที่ไม่สุจริตเกิดขึ้นมากมาย จนนายสนธิไม่สามารถให้การสนับสนุนได้อีกต่อไป จึงเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างตรงไปตรงมาในรายการ"เมืองไทยรายสัปดาห์"ทางช่อง 9 โดยเริ่มจากประเด็นปัญหาการทุจริต เช่น ทุจริตกล้ายาง 90 ล้านต้น ทุจริตการจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ ตามด้วยพฤติกรรมการละเมิดพระราชอำนาจ กรณีการปลดคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา จากตำแหน่งผู้ว่าการ สตง.การตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชโดยไม่กราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก่อน การซื้อเครื่องบินประจำตำแหน่งของตัวเอง ทั้งที่ควรซื้อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งกรณีการทำพระพิธีในวัดพระแก้ว โดยเรื่องเหล่านี้มีผู้ให้ข้อมูลมายังนายสนธิ ไม่ใช่ประเด็นที่นายสนธิกุขึ้นเองแต่อย่างใด เช่น เรื่องการทำพิธีในวัดพระแก้วนั้น ศ.ระพี สาคริก ราษฎรอาวุโสเป็นผู้ให้ข้อมูลมา ส่วนกรณีพระสังฆราช ก็เป้นข้อมูลที่ได้มาจากคณะศิษย์ของหลวงตามหาบัว
การพูดถึงความผิดพลาดของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างตรงไปตรงมานี่เอง ทำให้รายการ"เมืองไทยรายสัปดาห์"ถูกถอดออกผังรายการของช่อง 9 และผู้บริหารระดับสูงของ อสมท.ยังได้แถลงข่าวกล่าวหาให้ร้ายว่า รายการของนายสนธิสร้างความแตกแยก เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ และหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดสถาบันเบื้องสูง ซึ่งทำให้นายสนธิต้องฟ้องกลับ และหลังจากนั้นได้หันมาจัดรายการ “เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร” เปิดโปง พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ในเรื่องต่างๆ ทุกวันศุกร์ จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวได้ขายหุ้นชินคอร์ป ให้สิงคโปร์ เป็นเงิน 73,300 ล้านบาท โดยไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว ทำให้มีประชาชนออกมาร่วมกับนายสนธิมากขึ้น จนนำไปสู่การจัดชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลายเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในรายการวันนี้ นายวีระ ได้กล่าวตีฝีปากว่า แท้จริงแล้วมันสมองการเอาตัวรอดของ นายสนธิ นั้น ถือว่าไม่ธรรมดา ทั้งเรื่องการบริหารและการโน้มน้าว และจริง ๆ แล้วนายสนธิ ควรจะร่ำรวยพอ ๆ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยซ้ำ แต่ทั้งหมด การที่นายสนธิ ต้องล้มเหลว และไม่ได้ร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณนั้น คงเป็นเรื่องของดวงเท่านั้น เพราะเรื่องของการแข่งวาสนา บารมีมันคงแข่งกันไม่ได้
อย่างไรก็ตาม นายวีระไม่ได้บอกว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณร่ำรวยนั้น มาจากการเข้าไปทำสัมปทานผูกขาดกับรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเผด็จการ รสช.ในช่วงปี 2534-2535 ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเขาหา รสช.เพื่อขอสัมปทานดาวเทียม แต่นายสนธิเป็นฝ่ายออกมาสู้กับ รสช.ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังเข้าสู่การเมืองเพื่อใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจตัวเอง ที่เห็นได้ชัดเจนคือการรู้ข้อมูลเรื่องการลดค่าเงินบาทในปี 2540 เพราะมีคนของตัวเองเข้าประชุมกับแบงก์ชาติด้วย และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นนายกฯ ได้มีการออกนโยบาย แก้ไขกฎหมาย แก้ไขสัญญาสัมปทาน ทำให้ธุรกิจโทรคมนาคมของตัวเองได้กำไรมหาศาล และส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่จะขายเอาเงินเข้ากระเป๋าเพื่อเตรียมไปทำธุรกิจผูกขาดด้านการพลังงานต่อไป แต่โชคร้ายที่ถูกพันธมิตรฯ ต่อต้าน และมีความผิดพลาดที่ตัดสินใจยุบสภาเพื่อหนีการชี้แจง จนนำไปสู่วิกฤติการเมืองในที่สุด
ในช่วงท้ายรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวทำนองให้เกิดภาพน่ากลัวว่า คนที่มีปัญหาอย่างนายสนธินั้น อาจจะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศในอนาคต แต่คงขึ้นมาด้วยวิธีการปกติไม่ได้ จะต้องโค่นล้มรัฐบาลแล้วสถาปนาตัวเองขึ้นมาตามแนวทางการเมืองใหม่
หลังจากนั้นได้สรุปว่า เรื่องราวของนายสนธิ ยังมีอีกมากมาย ซึ่งจะมีการนำเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งหากใครชอบหนังประเภทหนังเรื่องยาว หรือ บู๊ล้างผลาญ ต้องรอชมกันให้ได้