สามเกลอหัวแข็ง ยังดื้อแพ่ง จัดรายการ “ความจริงวันนี้” ด่า กกต.-ปปช. ผ่านจอเหมือนเคย ปากกล้าท้า หากใครอยากจะฟ้องก็เชิญได้เลย อ้างหรู จะเดินหน้าเปิดเผยความจริงผ่านจอต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง –เย้ย ป.ป.ช. ถูกปล่อยตัวเอี้ยเข้าสำนักงาน ตีฝีปาก ถามจะดำเนินคดีกับ นปก. ข้อหา “ปล่อยตัวเอี้ย โดยไม่ได้รับอนุญาติหรือเปล่า”
วานนี้ (7 ส.ค.) รายการความจริงวันนี้ ดำเนินรายการโดยนายวีระ มิสิกพงษ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย โดยมีผู้ร่วมรายการขาประจำอย่าง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน มาร่วมดำเนินรายการเช่นเคย
เนื้อหาในรายการดังกล่าวช่วงแรก ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงการที่พญาอินทรี ได้บินมาเยือนบ้านเราแล้วก็บินจากไป ซึ่งพญาอินทรี ที่พวกตนกล่าวถึงนั่นคือ ประธานาธบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ว่าได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อกระชับสัมพันธไมตรี ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี ที่ประเทศไทยมีประเทศมหาอำนาจมาผูกมิตรไมตรีด้วย
จากนั้นจึงได้กล่าวถึง กรณีที่นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เตรียมจะดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายกับพวกตนทั้ง 3 คน ว่าจัดรายการบิดเบือน และจ้องโจมตีองค์กรอิสระ ดังนั้นจึงเตรียมจะฟ้องร้องคดีแน่นอน หากยังมีการพูดจาให้ร้ายและเข้าข่ายหมิ่นประมาท
โดยผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 กล่าวตอบโต้ว่า พวกตนไม่กังวลเลย หาก กกต. จะไปฟ้องร้องดำเนินคดีกับพวกตน เพราะทุกอย่างที่พวกตนนำมากล่าวในรายการเป็นเรื่องจริง ซึ่งพวกตนก็ไม่หวั่นและพร้อมยืนหยัดทำรายการเปิดเผยความจริงออกสู่สาธารณะต่อไป เพียงแต่ในวันนี้อยากให้ กกต.ใจเย็นก่อน แล้วนำหลักฐานและเหตุผลมาพูดคุย และชี้แจงกับกับพวกตนก่อนว่า แท้จริงแล้ว กกต. กระทำการฮั้วประมูลการพิมพ์บัตรเลือกตั้งหรือไม่ และ เหตุใด กกต. จึงจัดให้มีการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งเกินมาถึง 22 % ซึ่งมันมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น และคำถามสุดท้ายคือ กกต.ปล่อยปะละเลยให้มีการทุจริตการเลือกตั้งหรือไม่ เพราะ เคยมีกรณีที่พล.ต.ต.เสวก ปิ่นสินชัย อดีตผู้บังคับการตำรวจป่าไม้ ได้นำบัตรเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งในระบบแบ่งเขต และระบบสัดส่วน จำนวนหลายสิบใบไปให้ดีเอสไอ เพื่อตรวจสอบว่าบัตรดังกล่าวหลุดไปยังผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการเลือกตั้งได้อย่างไร ซึ่งจนถึงตอนนี้คดีดังกล่าวก็ยังไม่คืบหน้า ดังนั้นพวกตนจึงอยากให้ กกต. ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงของคดีนี้ด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ยังได้กล่าวโจมตีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่า ขอตั้งคำถามไปยัง ป.ป.ช.อีกครั้ง ว่าทุกวันนี้ที่ทำงานอยู่ ป.ป.ช.มีสิทธิ์อะไรมาทำงาน เพราะ ป.ป.ช. ไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จึงไม่มีสิทธิ์ทำงานและไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินเดือน ส่วนกรณีที่วันนี้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือคัดค้านว่าไม่ยอมรับการตรวจสอบจาก ป.ป.ช. เพราะไม่มีความชอบธรรมในเรื่องของที่มา นั้นพวกตนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะในเมื่อนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลชุดนี้ได้รับการโปรดเกล้าฯ มาอย่างถูกต้องทุกประการ แล้วเหตุใดจึงจะต้องยอมให้ องค์กรที่ไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ และมีที่มาไม่ถูกต้องมามีอำนาจถอดถอน
ผู้ดำเนินรายการ ยังกล่าวถึงกรณีที่ วานนี้ กลุ่มกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก.ได้นำตัวเงินตัวทอง จำนวน 3 ตัว มาปล่อยที่หน้าสำนักงาน ป.ป.ช. ด้วยว่า ในวันนี้ ป.ป.ช. ได้เตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีกับบุคคลกลุ่มดังกล่าวแล้ว ซึ่งนายณัฐวุฒิ หนึ่งในผู้ดำเนินรายการได้กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า สำหรับเรื่องนี้ ตนก็ยังไม่ทราบว่า ป.ป.ช. จะแจ้งความเอาผิดกับกลุ่มคนดังกล่าวในข้อหาอะไรหรืออาจจะเป็นข้อหา ปล่อยตัวเงินตัวทอง โดยไม่ได้รับอนุญาติ หรือเปล่า
ในช่วงท้ายรายการผู้ดำเนินรายการ ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวโจมตี กลุ่มพันธมิตรฯ โดยระบุว่า แนวทางที่พันธมิตรฯ กำลังปลุกระดมเรื่องทวงคืนปราสาทเขาพระวิหารนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะศาลโลกได้ตัดสินให้เป็นของกัมพูชาไปแล้ว และหากจะนำเรื่องนี้ให้ศาลโลกพิจารณาอีกครั้ง พวกตนก็มองว่าก็เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงเพราะอย่างไรเสีย เราก็ต้องแพ้ ดังนั้นการที่ต้องสูญเสียปราสาทเขาพระวิหาร ถึงแม้จะเป็นความจริงที่เจ็บปวด แต่คนไทยทุกคนก็ต้องรับให้ได้ อย่าไปฟังตามคำพูดปลุกระดมของกลุ่มพันธมิตรฯ
ทั้งนี้พวกตนมองว่า การกระทำของพันธมิตรฯ ในขณะนี้คือ การปลุกระดมอย่างไร้สมอง เพราะการกล่าวว่า ไทยต้องไปทวงดินแดนคืน สามารถทำได้เพราะคนไทยมีเยอะหว่า 60 ล้านคน ในขณะที่คนกัมพูชามีแค่ 14 ล้านคน ดังนั้นจึงไม่ต้องไปกลัว ถือเป็นเรื่องที่ไร้สาระ และอันตรายต่อประเทศมาก เพราะหากทำตามที่พันธมิตรฯ บอกจริง รับรองได้เลยว่าไทยจะต้องถูกโจมตีจากสหประชาชาติที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือประเทศเล็ก ๆ อย่างกัมพูชา แล้ววันนั้น ไม่เพียงแต่ไทยจะไม่ได้เขาพระวิหารคืน แต่จะต้องสูญเสียชาติไทยทั้งชาติไปด้วย