ปชป.แฉเล่ห์ “พลังแม้ว” แอบเสนอแก้กฎหมายอาญา ม.112 เอาผิดคนรู้เหตุการณ์หมิ่นเบื้องสูง ยังไม่แจ้งความ แต่นำมาพูดก่อน หวังเล่นงานฝ่ายตรงข้าม กลบเกลื่อนคนในรัฐบาลหมิ่นเสียเอง ทั้งกรณี “จักรภพ” และ “ดา ตอร์ปิโด” ชี้ หากผ่าน สังคมวุ่นแน่
วันนี้ (6 ส.ค.) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรค (วิป) ฝ่ายค้าน กล่าวถึงกรณีที่ นายจุมพฎ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร พรรคพลังประชาชน เสนอร่างกฎหมายจัดระเบียบการชุมนุม ว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นการละเมิดสิทธิ์ เชื่อว่า การผลักดันกฎหมายดังกล่าว น่าจะต้องการใช้เพื่อจัดการกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลโดยเฉพาะ ล่าสุด หากพรรคพลังประชาชนมีแนวคิดที่จะถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออก ตนเห็นด้วยเพราะเชื่อว่า ถ้ายังผลักดันออกมาสังคมจะไม่ยอมรับ
นอกจากนี้ นายสาทิตย์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบของวิปฝ่ายค้าน พบว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา นายจุมพฎ บุญใหญ่ ยังได้เสนอร่างแก้ไขบทลงโทษทางกฎหมายอาญาเพิ่มเติม มาตรา 112 ที่ระบุว่า ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทน ต้องระวางโทษจำคุกสามปีถึงสิบห้าปี โดยเพิ่มมาตราในมาตรา 112/1 ว่า ผู้ใดรู้ว่ามีการกระทำผิดตามมาตรา 112 ไม่นำความเข้าแจ้งต่อพนักงานสอบสวน แต่กลับนำความไปกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายต่อธารกำนัลหรือประชาชนว่ามีการกระทำผิดเช่นนั้นเกิดขึ้นเพื่อหวังผลการเมือง โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1121
นายสาทิตย์ กล่าวว่า ตนเห็นว่า การเขียนกฎหมายดังกล่าวอาจจะทำให้เกิดปัญหา และมีจุดมุ่งหมายเพื่อไปจัดการกับผู้ที่กล่าวหาคนในรัฐบาลว่ามีพฤติกรรมหมิ่นฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ คือ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ทั้งนี้ กฎหมายอาญาเองก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่าการกระทำผิดตามมาตราดังกล่าวต้องดูที่เจตนาการกระทำ แต่การเขียนในลักษณะที่ว่าถ้ารู้แล้วไม่ไปแจ้งความ เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการได้ จะกระทบต่อบุคคลที่ออกมาเปิดเผยว่ามีการกระทำใดบ้างที่เข้าข่าย นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เป็นความต้องการออกกฎหมายเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง ไปจัดการคนที่ตนเองไม่ชอบ ตนอยากเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนและถอนร่างกฎหมายนี้ออกไป รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ประเภทนี้ด้วย
เมื่อถามว่า มองเจตนาการขอเสนอกำหมายนี้อย่างไร นายสาทิตย์ กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่ากฎหมายนี้ผ่านความมติพรรคพลังประชาชนหรือไม่ ถ้าผ่านโดยเห็นชอบแปลว่า รัฐบาลได้ใช้อำนาจของตัวเองเพื่อออกกฎหมายผ่านสภาเพื่อเอาผิดคนที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งขัดต่อหลักนิติธรรม ในการปกครองแบบนิติรัฐ เรื่องนี้สอดรับกระแสข่าวที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดพระมหากษัตริย์
เมื่อถามว่า จะกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์ หรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ถ้าเป็นกรณีของนายจักรภพ ขณะนี้อยู่ในชั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งกฎหมายนี้จะกระทบและไม่เป็นการประสงค์ดีต่อคนที่ต้องการปกป้องสถาบัน ในส่วนของกรณี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯนั้น มีความใกล้เคียง โดยเฉพาะเรื่องของ ดา ตอร์ปิโด อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ทางกฎหมายอาญาได้ดูเจตนาของผู้กระทำไปแล้ว การที่พรรคพลังประชาชนเสนอกฎหมายเช่นนี้จะทำให้เกิดความปั่นป่วนไปหมด
นอกจากนี้ นายสาธิต ยังกล่าวถึงกรณีการตั้งคณะกรรรมการที่มี นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ฝ่ายค้านได้ตรวจสอบว่าขัดต่อ พ.ร.บ.ร่วมทุนหรือไม่
เมื่อถามว่า จะเห็นได้ว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้น น่าจะเป็นการดิ้นครั้งสุดท้ายของรัฐบาลหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า นายกฯ ทำทุกอย่างเพื่ออยู่ในตำแหน่งนานที่สุด โดยไม่สนวิธีการ ซึ่งการแก้กฎหมายเป็นวิธีการหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ ตนเคยชี้ให้เห็นแล้วว่าต้องดูที่จุดประสงค์ด้วย อย่างเช่น กรณีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 ตนเห็นว่า เป็นเพียงระเบิดควันเท่านั้น แต่คนที่ตามมาหลังระเบิดควัน อย่างคณะกรรมการ พีพีพี น่ากลัวมากกว่า อย่างที่ นายศักดา คงเพชร ออกมาเผยโครงการจัดหารถเมล์ของ ขสมก.ว่า มีการหักหัวคิวคันละล้านบาท เพื่อเป็นทุนตั้งพรรคการเมืองใหม่นั้น แล้วโครงการเมกะโปรเจกต์ ที่มีมูลค่านับแสนล้าน จะมีมูลค่าหัวคิวเท่าไร อย่างไรก็ตาม ที่ถือเป็นเรื่องดีที่คนของพรรคพลังประชาชน ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ แต่ที่ นายศักดา ระบุว่า จะนำเรื่องนี้ไปยื่นต่อ ป.ป.ช.นั้น ตนเห็นว่ายังไม่จำเป็น เพราะขณะนี้ได้มีรายงานของ ป.ป.ช.มาแล้ว ซึ่งตนจะนำเรื่องนี้มาอภิปรายด้วยตนเอง