xs
xsm
sm
md
lg

แฉเบื้องลึก “รบ.ขายชาติ” ประเคน “พระวิหาร” แลกบ่อก๊าซ 2 แสนล.!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
“ภูวดล” เปิดโปง “รัฐบาลขายชาติ” ตัวสั่นประเคน “เขาพระวิหาร” ให้กัมพูชาหวังแลกกับ “หลุมก๊าซ” มูลค่ากว่า 2 แสนล้านในอ่าวไทย อัดยับ “ผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ” ขายวิญญาณให้ “แม้ว” เหตุกล่าวหาคนที่เดินทางไปคัดค้านรับเงินคนละ 500 ก่อนทำนายอนาคต “หมัก” สุดสยอง หาก ปชช.สุดทน-ลุกฮือขึ้นต่อต้านผู้นำไทย

เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น.วันนี้ (19 ก.ค.) ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขึ้นเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยกล่าวถึงกรณีพิพาทในพื้นที่ทับซ้อน บริเวณปราสาทเขาพระวิหารว่า ก่อนที่นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ จะนำกรณีดังกล่าวเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีในวันดังกล่าว ข่าวภาคค่ำของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีเสนอข่าวยอมรับว่าเขตปริมณฑลรอบปราสาทเขาพระวิหาร 30 เมตร เป็นของกัมพูชา โดยอ้างว่าประโยชน์ที่ไทยจะได้รับก็คือ การขายของที่ระลึกที่บริเวณบันไดทางขึ้นเขาพระวิหารเพียงเท่านั้น นี่คือความบัดซบของเสนาบดีไทยที่ร่วมกันขายชาติ

“ถัดจากนั้นเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2551 สภาความั่นคงแห่งชาติ ได้เห็นชอบแผนที่ใหม่ของกัมพูชาที่จะขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร โดยทุกฝ่ายได้สมรู้ร่วมคิดกันทุกฝ่าย แต่รัฐบาลชุดนี้ก็ยังไม่ยอมเปิดเผยความจริง ทั้งๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ลงมติแล้วว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2550 แต่คณะรัฐมนตรีชุดขายชาติ ก็ยังไม่นำพา โดยเฉพาะผู้นำยังคงเสนอหน้า ซึ่งมีอาการวิปริต และมีอาการค่อนข้างที่จะกลายเป็นโรคจิตมากขึ้นทุกวัน” ดร.ภูวดล กล่าว

ดร.ภูวดล กล่าวอีกว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ประชุมสภาความมั่นในวันเดียวกัน โดยนำแผนที่ฉบับใหม่ของกัมพูชา เข้ามาพิจารณาด้วย และก่อนที่เลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติคนใหม่จะมาดำรงตำแหน่ง ได้มีการเตรียมการกันอย่างฉุกละหุก โดยนายกฯ ได้มีคำสั่งโยกย้าย พล.ท.ศิริพงษ์ บุญพัฒน์ เลาขาฯ สมช.คนเก่า ซึ่งเป็น นรต.รุ่น 9 ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ แล้วแต่งตั้ง พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็น นรต.รุ่น 10 เพื่อนรักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยในขณะนั้นเป็นการโยกย้ายนอกฤดูกาล

“เมื่อกลางเดือนที่แล้ว ผู้นำประเทศนี้ ครม. และเลขาฯ สมช.ประเทศนี้ รวมทั้งคณะความมั่นคงชุดปัจจุบัน ได้โหก ตระบัดสัตย์ และลวงโลกกรณีที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกตลอดเวลา 1 เดือนเต็ม โดยเฉพาะกรณีที่ ศ.อดุลย์ วิเชียรเจริญ ประธานกรรมการแห่งชาติ ว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกได้ โต้แย้งกรณีดังกล่าวว่า ให้ระวังกัมพูชาเขียนแผนที่เกินจากตัวปราสาทมา 30 เมตร ซึ่งเป็นการลุกล้ำพื้นที่ของไทย แต่นายนพดล กลับยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชาอยู่แล้ว แต่ในเวลาต่อมา นายนพดล กลับปฏิเสธไปคนละเรื่อง ทั้งๆ ที่มีเอกสาร และเทปข่าวของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทียืนยัน” ดร.ภูวดล ระบุ

ดร.ภูวดล กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ปัญหาปราสาทเขาพระวิหาร กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไปแล้ว เพราะนักการเมือง ครม.ชุดนี้ และข้าราชการเฮงซวยบางคน ทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น ผมจึงขอประณามการกระทำที่บัดซบของชนชั้นผู้ปกครองใน จ.ศรีสะเกษ เมื่อวานนี้ เพราะก่อนที่มานั่งเป็นเจ้าเมืองศรีสะเกษนั้น บุคคลดังกล่าวเคยเป็นรองผู้ว่าฯ จ.สุรินทร์ แต่สันนี้กลับบังอาจกล่าวหาคนที่เดินทางไปคัดค้านกรณีปราสาทเขาพระวิหารว่ารับเงินคนละ 500 บาท ฉะนั้น ผู้ว่าฯ คนดังกล่าวจึงบัดซบที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา โดยทำตัวขายชาติ ขายจิตวิญญาณรับใช้ พ.ต.ท.กษิณ

“ประเด็นต่อมา คือ วันนี้เราสูญเสียอธิปไตยของประเทศรอบกัมพูชา โดยเฉพาะยูเนสโก้ ก็คือตัวแสบ เพราะจริงๆ แล้วยูเสนโก้ ทำหน้าที่ประคองคณะคณะกรรมการมรดกโลกเพียงเท่านั้น โดยจะมีผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ ซึ่งก็คือประเทศมหาอำนาจฝรั่งเศสที่เป็นเจ้าอาณานิคมตรงนั้น แล้วมาดามฟรังซัว รีวีแย มาสะเออะเป็นคนกลางกรณีเสนาบดีขายชาติของเราไปเซ็นคู่กับเสนาบดีกัมพูชา ในการยกปราสาทเขาพระวิหาร เพื่อเอาไปอ้างกับคณะกรรมการมรดกโลก นี่คือความบัดซบของ ครม.ทั้งชุด” ดร.ภูวดล กล่าว

ส่วนกรณีที่สมุนรับใช้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ดร.ภูวดล กล่าวว่า คนพวกนั้นคลั่งไคล้ที่จะนำเอาสิทธิ นำผลประโยชน์ และนำอธิปไตยของไทยไปแลกกับกัมพูชา เพราะรากเหง้าของพวกนั้นเป็นคนบัดซบทั้งสิ้น เพียงเพราะผลประโยชน์อันมหาศาลจากการลงทุนเท่านั้น โดยเฉพาะอ่าวไทยที่ทุกคนภูมิใจนั้น ในอดีตเราไม่เคยคิดว่าไหล่ทวีปจะเป็นปัญหา โดยส่วนที่ลึกที่สุดของอ่าวไทยลึกเพียง 80 เมตร อยู่ที่บริเวณหมู่เกาะอ่างทองใน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยคิดที่จะตั้งฐานทัพเรือดำน้ำที่บริเวณนั้น แต่ประเทศไทยจน จึงทำได้แต่เพียงเรือดำน้ำสวนสนุกที่เขมรหลอกขายมาเท่านั้น

“ตั้งแต่มีการทำอนุสัญญาเจนนีวา ในปี ค.ศ.1958 ปัญหาเรื่องไหล่ทวีปทับซ้อนในอ่าวไทยก็เกิดขึ้นทันที เพราะตามอนุสัญญาฉบับดังกล่าว ระบุเอาไว้ว่า รัฐชายฝั่งประเทศใดก็ตามที่มีไหล่ทวีปติดกับทะเล จะมีความยาวออกไปถึงบริเวณเขตน้ำลึกเพียง 200 เมตร เท่านั้น แต่ปัญหาก็คือ อ่าวไทยน้ำลึกที่สุดไม่เกิน 82 เมตรโดยเฉลี่ยทั้ง 4 ประเทศ ซึ่งเมื่อข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นปั๊บ จึงเกิดปัญหาไหล่ทวีปทับซ้อนเกิดขึ้นทันที เพราะแต่ละชาติก็จะอ้างสิทธิไหล่ทวีปของตัวเอง ซึ่งไหล่ทวีปส่วนใหญ่ตามหลักธรณีวิทยาแล้ว อ่าวไทยต่อเนื่องไปจนถึงทะเลต่างๆ ในหมู่เกาะอินโดนีเซีย ซึ่งเชื่อว่ามีแก๊สธรรมชาติ และน้ำมันแทบจะทุกจุด นี่คือข้อเท็จจริง เพราะไม่เช่นนั้นไทยก็ไม่เคยคิดที่จะซื้อเรือรบหลวง โดยพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เคยบอกเอาไว้ว่า ประเทศไทยจะต้องมีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านเรื่องชิงผลประโยชน์ในอ่าวไทย ตั้งแต่นั้นมาประเทศเพื่อนบ้านก็มีการเรียกร้องสิทธิดังกล่าว” ดร.ภูวดล กล่าว

ดร.ภูวดล กล่าวต่อว่า พื้นที่ไหล่ทวีปทับซ้อนจากกรณีระหว่างประเทศกับกัมพูชา ซึ่งรวมไปถึงประเทศเวียดนามนั้น มีพื้นที่ทับซ้อนมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศไทย หรือประมาณ 32,000 ตารางกิโลเมตร โดยต่อมาไทยได้ตกลงกันมาเลเซียในสมัยนายเกรียงศักดิ์ เป็นนายกฯ กับนายกฯ ฮุสเซนออน ซึ่งมีพื้นที่เพียง 7,250 ตารางกิโลเมตร และในกรณีการเจรจาเรื่องไหล่ทวีปกับมาเลเซียนั้น ตกลงกันได้คือ แบ่งกันคนละครึ่งในกรณีนอกชายฝั่งจะนะ ที่ อ.หาดใหญ่ หลังจากนั้น เราต้องเจรจากับกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศที่เขี้ยวที่สุด แต่เป็นประเทศที่มีชายทะเลแล้วอ่อนแอที่สุดในเอเชีย โดยหากินมากที่สุด ซึ่งเข้ากันได้กับวัฒนธรรมหากินของนักการเมืองไทยมากที่สุด

“แต่เขมรในขณะนั้น ตัดสินใจที่จะลากเส้นเขตไหล่ทวีปของตัวเอง จากหลักเขตแดนที่ 73 ผ่านเกาะกูดของไทย จนมีปัญหามาถึงทุกวันนี้ จากนั้นการเจรจาได้มีการเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่ ค.ศ.1994 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยการเจรจากับเขมร ตกลงกันว่าไม่มีคณะกรรมการเทคนิคร่วม โดยยึดหลักเขตแดนทางบกที่หลักที่ 73 บนหาดสารพัดพิษตั้งแต่ จ.ตาก ไปจดเขตแดนข้างล่าง โดยกัมพูชาตกลงกับไทยว่า ที่แปลงนั้นไทยเอาแค่ 1 ใน 3 ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 8,650 ตารางกิโลเมตร ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 2 ใน 3 ของพื้นที่ กัมพูชาตกลงว่าจะร่วมมือกับไทยเพื่อจัดตั้งองค์กรที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการตักตวงเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งกัมพูชาไม่ยอมตกลงแบ่งครึ่งเหมือนมาเลเซีย แต่กัมพูชาจะเอามากกว่านั้น ดังนั้นจึงมีการเจรจาต่อรองตัดเขาพระวิหาร เพื่อแลกกับผลประโยชน์ตรงนี้” ดร.ภูวดล ระบุ

ดร.ภูวดล กล่าวอีกว่า ปัญหาเรื่องไหล่ทวีประหว่างไทยกับเวียดนาม มีปัญหาอยู่แค่ประมาณ 6,000 ตารางกิโลเมตร โดยเริ่มเจรจากันก่อนที่เวียดนามจะรวมประเทศกันด้วยซ้ำ ซึ่งเวียดนามกลัวอย่างเดียวคือ เรือประมงไทยเข้าไปลักลอบจับปลาในประเทศของเขา จากนั้นมีการเจาจรกันถึง 9 ครั้ง จนสุดท้ายตกลงกันได้เมื่อปี 1997 จากนั้นเราได้แหล่งอาทิตย์ซึ่ง ปตท.สผ.ได้เข้าไปสำรวจตรงนั้นจุดเดียวที่ตกลงกับเวียดนามได้ โดยมีปริมาณแก๊สธรรมชาติสำรองสูงถึง 1.8 ล้านล้านลูกบาตรฟุต ซึ่งเพียงหลุมเดียว มีมูลค่า 2 แสนล้านบาท ส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ปตท.สผ. ก็คือ พรรคพวกของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว

“ผู้นำไทยวันนี้มีโมหะ และมีราคะ ดังเช่นวลี คุณเสพเมถุนแล้วหรือยัง แล้วมาวันนี้ก็บอก 3 คนไทยที่ไปประท้วงที่ปราสาทเขาพระวิหารว่าเป็นพวกบ้า ดังนั้นจึงอยากถามว่า ระหว่างผู้นำประเทศกับ 3 คนไทยที่รักชาติ ใครบ้ากว่ากัน แค่นั้นยังไม่พอ ผมเชื่อว่าอนาคตอันใกล้นี้ ผู้นำไทยจะมีทางเลือกเพียงสองทางคือ 1.เมื่อมหาประชาชนลุกฮือกันขึ้นมา ผู้นำไทยจะกินไซยาไนต์แล้วตายภายใน 3 วินาที หรือ 2.จะมีชะตากรรมแบบมุโสลินี คือ ประชาชนจะจับมัดคอ แล้วลากไปตามท้องถนนแล้วช่วยกันรุมประชาทัณฑ์จนตายภายในพระนครแห่งนี้” ดร.ภูวดล กล่าวทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น