4 อดีตแกนนำ “ม็อบไข่แม้ว” ตีฝีปาก ผ่าน PTV ป้ายสี “พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์” ขึ้นเวที พันธมิตรฯ ก็เพราะอยากสร้างภาพให้ตัวเองเป็นวีรบุรุษ เลียนแบบ “จอมพลสฤษดิ์” – จี้ ผบ.ตร.เอาผิด “พ.ต.ท.ประกิต กิจเจริญ” ที่มาร่วมเวทีกับพันธมิตรฯ เชื่อเป็น ตร. ที่มีปมในใจ ทำงานนานตำแหน่งไม่ก้าวหน้า เลยถูก พันธมิตรฯ หลอกมาขึ้นเวที
วานนี้ (9 ก.ค.) รายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศผ่านทางดาวเทียมของช่องเอ็มวีทีวี ดำเนินรายการโดย 4 อดีตแกนนำ แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) คือ นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน
ทั้งนี้ เนื้อหาหลักที่ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึง คือ การแสดงความไม่เห็นด้วย และตำหนิ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด ที่แต่งเครื่องแบบทหารเต็มยศ ขึ้นเวทีปราศรัยกับกลุ่มพันธมิตรฯ เมื่อคืนวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า เป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะผิดต่อข้อปฏิบัติสำหรับข้าราชการทหารที่ออกมาเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2551 ที่ระบุว่า ทหารที่จะต้องการเข้าร่วมฟังการปราศรัยในที่สาธารณะ ไม่ควรสวมเครื่องแบบ และควรเว้นการใช้ยศประกอบในการแนะนำตนเองกับบุคคลทั่วไป ขณะที่อยู่ในการชุมนุม และการไปร่วมชุมนุมต้องไม่ใช่ในเวลาราชการ และการไปร่วมฟังการปราศรัยหรือร่วมบรรยาย ห้ามวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของรัฐบาลให้ประชาชนฟัง ดังนั้น ในเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หนึ่งในผู้ดำเนินรายการจึงได้แถลงข่าวเรียกร้องไปยัง พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแล้ว ว่า เมื่อ พล.อ.ปฐมพงษ์ กระทำการผิดวินัยเช่นนี้แล้ว ทางหัวหน้าสังกัดจะมีการดำเนินการอย่างไร
อีกทั้งในการขึ้นปราศรัยของ พล.อ.ปฐมพงษ์ เท่าที่พวกตนได้ติดตามรับฟังจาก เอเอสทีวี ก็พบว่า มีการพาดพิงไปถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีด้วย เพราะ พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า การที่มาขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ของตนนั้น ได้ไปขออนุญาต พล.อ.เปรม มาแล้ว ดังนั้น พวกตนจึงอยากเรียกร้องไปยัง พล.ร.ท.พระจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ออกมาให้คำตอบด้วยว่า เรื่องดังกล่าวเป็นจริงตามที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวอ้างหรือไม่ และที่พวกตนออกมาเรียกร้องเช่นนี้ก็ไม่ได้ต้องการจาบจ้วง พล.อ.เปรม แต่ต้องการให้มีการออกมาแสดงความชัดเจนเท่านั้น เพื่อจะยืนยันได้ว่า พล.อ.เปรม ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองจริงๆ
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึง พ.ต.ท.ประกิต กิจเจริญ สารวัตรฝ่ายอำนวยการ ตำรวจภูธรจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ขึ้นเวทีปราศรัยของพันธมิตรฯ ด้วย ว่า อยากเรียกร้องไปยัง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ช่วยตรวจสอบด้วยว่า การกระทำดังกล่าวของ พ.ต.ท.ประกิต ได้รับมอบหมายให้มาปฏิบัติหน้าที่ดูแลม็อบพันธมิตรฯ จริงหรือไม่ และหากจริงการกระทำดังกล่าวนั้นเหมาะสมแล้วหรือไม่
นอกจากนี้ การกระทำของ พ.ต.ท.ประกิต ยังทำให้พวกตนนึกถึง พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี ตำรวจซึ่งเคยมาฟ้องร้องให้ดำเนินคดีกับ นายจักรภพ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ว่าการกระทำของตำรวจทั้งสองน่าจะมีที่มาที่ไปที่ซับซ้อน เพราะจากที่พวกตนได้ตรวจสอบประวัติแล้ว พบว่า พ.ต.ท.ประกิต นั้นในอดีตเคยมียศเป็น รองสารวัตรอยู่นานถึง 26 ปี แล้วเพิ่งมาเลื่อนยศเป็น สารวัตรเมื่อไม่นานมานี้เอง เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ ที่ก็อยู่ตำแหน่งเดิมมานานกว่าจะได้เลื่อนชั้นยศ ทำให้คาดได้ว่า ตำรวจสองคนนี้มีปมในใจ โดยอาจมีความคับแค้นใจว่าการทำงานตามหน้าที่ของเขาไม่ได้ทำให้เขาเจริญก้าวหน้าได้ จึงทำให้คนบางกลุ่ม นำจุดอ่อนตรงนี้ ไปจูงใจให้เขากระทำการให้ร้ายฝ่ายตรงข้าม
ในช่วงท้ายรายการผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงกรณี กัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารสำเร็จว่า พวกตนอยากจะชี้แจงว่า ปราสาทเขาพระวิหารได้ตกเป็นของกัมพูชาตั้งแต่ปี 2505 แล้วในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งในครั้งนั้น จอมพลสฤษดิ์ ได้ออกแถลงการณ์ว่าเสียใจอย่างสุดซึ้ง และขอสงวนสิทธิ์ปราสาทเขาพระวิหารเอาไว้เพื่อจะทวงคืนในอนาคต ซึ่งแถลงการณ์ดังกล่าวก็ได้ถูกกลุ่มพันธมิตรฯ นำมาอ่านบทเวทีปราศรัยกระตุ้นให้คนรักชาติอย่างมากมาย โดยไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดเลย ว่าแท้จริงแล้วแถลงการณ์ดังกล่าวน่าจะเขียนขึ้นมาจาก หลวงวิจิตรวาทการ ผู้เขียนสำนวนได้ไพเราะกินใจประชาชน โดยที่แท้จริงแล้วจอมพลสฤษดิ์ อาจไม่ได้มีความเสียใจ หรือจริงใจ ที่จะทวงคืนเขาพระวิหารเลยด้วยซ้ำ เพราะหากมีความจริงใจจริง ๆ ก็คงดำเนินการทวงคืนเขาพระวิหารไปตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงคล้ายกับทหารบางคนที่ไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ นั่นคือ พวกทหารที่ชอบสร้างภาพ เพื่อให้คนเข้าใจว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษ ทำตัวไม่สมกับเป็นทหารเพราะจริง ๆ แล้วก็เป็นแค่นักรบหน้านวลเท่านั้น
อีกทั้งยังอยากชี้แจงด้วยว่า ระยะเวลาการอ้างสิทธิ์ก็ได้หมดไปนานแล้ว รัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถทวงสิทธิ์เขาพระวิหารได้ และไม่อยากให้มองว่าการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารครั้งนี้เป็นความผิดของรัฐบาลชุดนี้ เพราะตั้งแต่ศาลโลกตัดสินเมื่อปี 2505 นับตั้งแต่นั้นมาไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนเลยที่คิดจะทวงสิทธิ์เขาพระวิหารคืนมา แล้วพอกัมพูชาจะขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกจะมาโทษหรือกล่าวหาว่ารัฐบาลชุดนี้คงไม่ถูกต้อง