xs
xsm
sm
md
lg

“สุรพงษ์-ปราโมทย์” ชวนทหารเคียงข้างประชาชน-ขับไล่คนโกง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปราโมทย์ นาครทรรพ
ผ “สุรพงษ์-ปราโมทย์” สรรเสริญวีรชนในเครื่องแบบที่ขึ้นมาพูดบนเวที พร้อมชวนทหารมายืนเคียงข้างประชาชน โดยไม่ต้อวงทำการรัฐประหาร ชี้ เพื่อร่วมขับไล่คนโกงออกจากประเทศ

เวลา 19.30 น. วันนี้(8ก.ค.) ในรายการรู้ทันประเทศไทย บนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ณ สะพานมัฆวาน ซึ่งดำเนินรายการโดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนายสันติสุข มะโรงศรี ได้เชิญนายสุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ และอาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ ให้มาแสดงความคิดเห็นบนเวที

โดย นายสุรพงษ์ กล่าวว่า คดีเขาพระวิหารผลออกมาเป็นอย่างไร พ่อแม่พี่น้องทุกคนคงได้รับทราบแล้ว แต่ที่สำคัญทุกคนต้องไม่ควรหลงประเด็นว่า เราไม่ได้มีปัญหากับประชาชนชาวเขมร และรัฐบาลกัมพูชา เพราะเรามีปัญหาอยู่กับรัฐบาลไทยชุดนี้เท่านั้น

“รัฐบาลชุดนี้ทำผิดมาตรา 190 ดังนั้น ต้องลาออก รวมทั้ง ส.ส.จำนวน 287 เสียง ที่ยกมือสนับสนุนนายนพดล ตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุด ก็ควรลาออกไปด้วย เพราะนี่คือการแสดงความรับผิดชอบในระบอบประชาธิปไตย”

อดีตเอกอัครราชทูต กล่าวว่า ทหาร หรือตำรวจ ขึ้นบนเวทีพันธมิตรฯ โดยใส่เครื่องแบบนั้น ส่วนตัวมมองว่าบุคคลเหล่านี้ คือเสรีชนในเครื่องแบบ พี่น้องพันธมิตรฯ ทุกคนเป็นเสรีชนทางความคิด การรับฟังข้อมูลข่าวสารและสามารถตัดสินใจเองได้ ดังนั้น ในเรื่องนี้ ถือเป็นสิ่งที่น่ายินดี

ขณะเดียวกัน จากข้อมูลที่ได้ศึกษามาในหลายประเทศ พบว่า การรัฐประหารนั้น ไม่ได้เกิดมาจากการปฏิวัติของทหารทุกครั้ง เพราะมีบางครั้งที่เกิดจากบุคคลธรรมดา หรือพลเรือนที่เป็นชนวนต้นเหตุในการปฏิวัติ โดยเฉพาะพลเรือนที่ใช้ทุนนิยม หรือเงิน นับว่าเป็นเร่องที่น่ากลัวมากกว่า

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจเรื่องต่อไป จะขอนำเสนอในเรื่องของยุคข้อมูลข่าวสาร ยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งจะพบว่าคนที่บ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ล้วนเป็นคนภายในทั้งสิ้น โดยจากประวัติศาสตร์ พบว่า มีอยู่ 2 ประเทศที่ทหารทำการปฏิวัติ และประชาชนพอใจและยอมรับ นั่นคือ โปรตุเกส และ ตุรกี แต่สำหรับไทย 8 ปีที่ผ่านมา ทหารได้รับรู้ถึงระบบทุนทักษิณ ซึ่งเป็นเผด็จการในคราบพลเรือน ที่ทำลายประชาธิปไตย ดังนั้น ทหารควรที่จะออกยืนอยู่เคียงข้างประชาชน มากกว่าที่จะออกมาเพื่อไปทำปฏิวัติยึดอำนาจมาสู่ตน

ทั้งนี้ อดีตเอกอัครราชทูต กล่าวว่า ยกตัวอย่างกรณีประเทศโปรตุเกส ว่า ในปี 1976 มีการปฏิวัติโดยทหาร และผู้นำเหล่าทัพขอเวลาประชาชน 2 ปี กวาดล้างและจัดระเบียบสังคม ก่อนจะส่งมอบอำนาจคืนแก่ประชาชนอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้นับได้ 42 ปีแล้ว ที่กองทัพโปรตุเกสไม่กลับมายุ่งกับการเมืองอีกเลย

ขณะที่กรณีของประเทศตุรกี มีการปฏิวัติโดยทหารมาแล้ว 4 ครั้ง แต่ที่น่าประทับใจที่สุด คือ ในปี 2514 และปี 2540 เพราะการปฏวัติทั้งสองครั้งของกองทัพ ไม่มีการอวด หรือแสดงแสนยานุภาพของกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นปืน และ รถถัง มาข่มขู่รัฐบาล แต่กองทัพแสดงความชัดเจนในการอยู่เคียงข้างประชาชน เมื่อเห็นรัฐบาลทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะล่มจม เหล่ากองทัพก็จะออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วย และให้รัฐบาลรีบดำเนินการแก้ไข ถ้ายังไม่เป็นผลก็ผู้นำทั้ง 3 เหล่าทัพ ก็จะเข้าพบนายกรัฐมนตรี และถ้าไม่ได้ผลอีก ก็จะยื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้าย ทำให้คิดว่าทหารไทยควรกลับมายืนเคียงข้างในจุดยืนเดียวกับประชาชน

“ผมมองว่า เมืองไทยตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เราถูกเขามอมเมา ว่า ประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งความจริงไม่ใช่เลย การเลือกตั้งไม่ใช่คำกำจัดความของประชาธิปไตย โดยในยุคทักษิณ นั้นชอบท้าทายอยู่เรื่อยมาถ้าแน่จริงมาเลือกตั้ง คนไทยบางคนไม่เข้าใจว่าบางทีการเลือกตั้งก็ไม่ได้หมายถึงจะนำพามาสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะคนพวกนี้อาศัยกฎหมายมาเป็นเครื่องมือนำพาไปสู่อำนาจ”

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ในการเมืองไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าเมื่อทหารเข้ามาร่วมมือกับประชาชนและจะเข้าเพื่อแย่งชิงอำนาจหรือไม่ แต่ถ้าทหารมาร่วมกับประชาชนและไม่แย่งชิงอำนาจไปสู่พวกตน เชื่อว่า เสรีชนทุกคนพร้อมยืนยันและมั่นใจในทหารกล้า ทั้งนี้ ที่เกิดระบอบทักษิณ ขึ้นเพราะคนไทยไม่สนใจการเมือง

“ส่วนตัวมองว่า กองทัพต้องไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องการเมือง แต่ถ้าบ้านเมืองเกิดภาวะคับขัน เข้าสู่วิกฤตกองทัพควรออกมาเคียงข้างประชาชน”

ด้าน อาจารย์ปราโมทย์ กล่าวว่า เราไม่ได้ยุยงให้ทหารเข้ามาดำเนิการปฏิวัติ เพราะเรื่องนี้ทหารไม่มีสิทธิ์เข้ามาทำเรื่องนี้ เพราะการเข้ามายืนเคียงข้างประชานไม่ได้หมายความถึงการนำอำนาจมาสู่ตนเอง นอกจากนี้ในการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 นั้น สะท้อนให้เห็นว่าทหารไทยยังไร้ความสามารถที่จะนำพาประเทศไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องได้ ดังนั้น ควรมีขั้นตอนในการดำเนินการจัดการเรื่องต่าง เพื่อถ่ายทอดอำนาจนั้นกลับมาสู่ประชาชน

ที่ผ่านมา ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งได้เกิดการรัฐประหารหลายครั้ง ส่วนใหญี่ทหารจะ อาศัยจังหวะ โดยฉกฉวยวิกฤตมาสร้างอำนาจให้แก่ตนเอง แต่เชื่อว่า หลายปีที่ผ่านมา ทหารคงจะได้รับบทเรียนมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหารประเทศ ซึ่งไม่มีความสามารถ เหมือนดังเช่น พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีต ผบ.สส.เคยเรียกผู้นำ 3 เหล่าทัพทานข้าวเช้า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2519 ว่า กลัวทหารจะเข้ามาปฏิวัติยึดอำนาจ และไม่สามารถบริหารประเทศได้

“การปฏิวัติ หรือปฏิรูปเพื่อประชาชน โดยทหารต้องเข้ามายืนเคียงข้างประชาชน แพร่อำนาจของตน หรือแสดงแสนยานุภาพของตนเฉพาะในกองทัพ ไม่ต้องมาใช้ภายนอก เพียงแต่ประกาศการสนับสนุนและอุดมการณ์ที่จะยืนเคียงข้างประชาชนให้ทั้วประเทศได้รับรู้เท่านั้น”

นอกจากนี้ อาจารย์ปราโมทย์ เชื่อว่า หากประชาชนที่ต้องการฟังคำพูดยืนยันจากผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพในการเคียงข้างประชาชนนั้น ส่วนตัวมองว่าจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทหารตั้งแต่ยศพันโท-พล.อ. แม่ทัพภาคออกมาแสดงความรู้สึกของตนก่อนเท่านั้นเอง

ขณะเดียวกัน อาจารย์ปราโมทย์ กล่าวว่า ขณะนี้ทั้งทักษิณ และ พรรคพลังประชาชน กำลังอยู่ในภาวะจนตรอก เพราะถูกกลไกความยุติธรรมกดดันเป็นระลอก ดังที่ตนเองเคยบอกกับพี่น้องพันธมิตรฯ ทุกคนว่า พรรคพลังประชาชน เป็นพรรคที่ลักไก่ และไม่ชอบธรรมตั้งแต่ก่อนเริ่มการเลือกตั้ง

ทั้งนี้ ท้ายที่สุด ผู้ร่วมอภิปรายทั้ง 2 ท่าน ขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนอย่าได้ลืมติดตามเรื่องการเมืองต่อไป แม้ว่าการชุนนุมครั้งนี้จะบรรลุวงัตถุประสงค์ก็ตาม เพราะเมือไหร่ที่ลืม และไม่สนใจ ก็จะมีนักการเมืองเลวๆ กลับมา

สุรพงษ์ ชัยนาม
กำลังโหลดความคิดเห็น