“ภูวดล” จวกนักวิชาการที่อ้างตัวเป็นกูรู อวดฉลาดเรื่องปราสาทพระวิหาร ทำตัวเป็นอีแอบ หากินกับผลประโยชน์จากคนหน้าเหลี่ยมทั้งสิ้น ระบุความรู้ยังเทียบไกด์ของเขมรไม่ได้ พร้อมยกให้กรณีเขาพระวิหาร เป็นกรณีสุดท้าย แนะนักวิการที่ดี ต้องสั่งสมด้วยผลงานของตัวเอง ไม่ใช่ลอกเลียนคนอื่น
วันนี้ (7 ก.ค.) เวลาประมาณ 19.30 น. ศ.ดร.ภูวดล ทรงประเสริฐ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขึ้นปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลถึงกรณีเขาพระวิหารว่า ดูจากความคิดความอ่านของนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ ที่ออกมาแสดงความอวดรู้อวดฉลาดแล้วน่าอนาจ ที่นักวิชาการเหล่านี้ทำตัวเป็นกูรูทางด้านประวัติศาสตร์ นิติศาสตร์ พยายามขายความคิด ความอ่านในจังหวะที่ชาติเจอวิกฤต ผิดกับก่อนหน้านี้ ที่ไม่เคยแสดงออก ยกเว้นทำตัวเป็นอีแอบ ต่อต้านเคลื่อนไหวไม่เอารัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2550 ไม่ว่าจะเป็นสีแดง ขาว เทา ก็เหมือนกันหมด ตั้งแต่เหนือจรดท่าพระจันทร์ สามย่าน ล้วนแล้วแต่หากินกับประโยชน์ที่คนหน้าเหลี่ยมหามาให้ทั้งสิ้น
ก่อนหน้านั้นก็พยายามทำตัวเป็นกูรูคนเดียว ด้วยการพยายามทำบทความทางวิชาการแสดงความคิดเห็น คนที่อายุมากหน่อยก็กล้าน้อยหน่อย ส่วนคนที่ยังหนุ่มอยู่ก็กล้ามาก ซึ่งบทความเหล่านี้ ส่วนใหญ่ปรากฏในวารสารฟ้าเดียวกัน ที่มุ่งทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ นอกจากนั้น กูรูพวกนี้ส่วนใหญ่จะเขียนลงเว็บประชาไทยทุกครั้ง ที่ต้องการแสดงความงี่เง่าออกมา
วันนี้ นอกจากนักวิชาการไทยจะทำตัวเป็นนักวิชาการผู้ประเสริฐ เลอเลิศ ทำตัวเป็นนักนิติศาสตร์ แต่ก็เป็นทาสของคนในประเทศนี้ สอนให้เป็นคนหัวหมอเป็นคนกะล่อน ฟั่นเฟือนมากกว่าสอนให้เป็นคนดี ดังนั้น ความคิดความอ่านของเด็กรุ่นใหม่ จึงออกมาเป็นเหมือนทักษิณ แต่ข้อเท็จจริงอีกข้อคือ ปัญญาชนส่วนใหญ่น่าจะตระหนักว่าข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย ยังหละหลวมอีกเยอะ ประวัติศาสตร์เขมร หรือขอมโบราน รู้แก่ใจแล้วหรือว่ารู้จริง เพราะในต่างประเทศเอาเอกสารในประเทศไทยไปแปลทั้งนั้น เวลาไปเรียนก็แค่เอาปริญญากลับมาเท่านั้น แต่ไม่เคยไปศึกษาถึงสถานที่จริง ทำให้กลายเป็นองค์กรความรู้ที่มาจากการลอกเลียนของตะวันตกเป็นหลัก เพราะเลือดไทย เขมร ดินแดนแถบนี้ ฝรั่งแปลมาจากเอกสารโบรานที่เป็นเอกสารจีนทั้งนั้น เพราะชาวจีนมีการบันทึกประวัติศาสตร์มาช้านานแล้ว ซึ่งฝรั่งก็เอาไปแปลออกเป็นทอดๆ วันนี้คนที่อ้างตัวว่าเป็นกูรูเหล่านี้พยายามเขียน แล้วยัดเยียดให้คนอ่าน ซึ่งสิ่งที่เอามาอ้าง เป็นรายงานที่ไม่มีข้อเท็จจริงแต่อ้างมาเป็นการตีความทางประวิติศาสตร์
“ถามว่าความรู้ที่พยายามอ้าง ท่านเขียนขึ้นมาเพื่ออะไร ท่านต้องการให้เวทีพันธมิตรยอมรับโดยดุษฎีว่า ปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรอย่างนั่นหรือ ปัญหาหลักคือ นักประวิตศาสตร์ไทยก็ดี กฎหมายไทยก็ดี ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศเองก็ดี มีองค์ความรู้ที่แท้จริงขนาดไหน วันนี้ เรียกว่าองค์ความรู้ที่ลอกกันมา เขียนในเว็บ เขียนได้อย่างไร โดยเฉพาะประโยคที่เขียนว่า เขาพระวิหารเป็นของเขมร เพราะมีหลักฐานเอาไว้บนยอดจารึก ว่าชนเผ่าไทยด้อยพัฒนา เป็นคนป่า ผมบอกตรงๆ ว่า ก่อนมีอาณาจักรสุโขทัย ล้านนา ไทยยิ่งใหญ่มาก่อนตั้งแต่สมัยอาณาจักรน่านเจ้า ครั้งหนึ่งผู้นำชนชาติไทย มีอาณาจักรเกิดขึ้นในดินแดนเขมร ขอมโบราณในปัจจุบันด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 9-12 เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่กว่าจีนถึงครึ่งหนึ่งของวันนี้” ศ.ดร.ภูวดลกล่าว
ศ.ดร.ภูวดล กล่าวว่า ประเด็นต่อไปคือ เราจะทำยังไงเพราะปัญหาปราสาทพระวิหารจะลงมติในวันพรุ่งนี้ (8 ก.ค.) แล้ว ซึ่งอยากให้มองว่าครั้งนี้เป็นบทเรียนและจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่เยาวชนไทยที่ต้องศึกษาประวัติศาสตร์ให้มากขึ้น ตนเป็นนักเรียนประวัติศาสตร์ ถ่อมตัวมาตลอดเวลา แต่บางคนไม่มีตำแหน่งแต่ยกหางตัวเอง หลวกลวงคนไทยตลอดมา ทำไมนักวิชาการจึงไม่สร้างองค์ความรู้ให้คนรุ่นใหม่ ด้วยการศึกษาอย่างจริงจัง อย่าดีแต่ลอกวิชาการของคนรุ่นหลัง
อีกประเด็น คือ องค์ความรู้ระหว่างไทยกับกัมพูชาวันนี้ เราขาดแคลนมากโดยเฉพาะกับชาติเพื่อนบ้าน เพราะเราถูกครอบงำมานานจากมหาวิทยาลัยฝรั่ง เช่น คอร์แนล ที่ถือว่าล้าหลังที่สุด ซึ่งการศึกษาความสัมพันธ์ไทยกับเพื่อนบ้าน มีนักวิชาการมากมายที่เข้าใจอย่างถูกต้อง แต่รู้จักเพียงไม่กี่คนและลอกกันไปลอกกันมาเท่านั้น ซึ่งวันนี้นักวิชาการในกัมพูชารู้เรื่องไทยดีกว่านักวิชาการไทยซะด้วยซ้ำ เพราะนักวิชาการไทยมีแต่จัดทัวร์ประวัติศาสตร์หาเงิน แต่ความรู้ยังเทียบกับไกด์ของเขมรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งอาชีพนี้ถือว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติสูงสุด ทำให้เขาไม่มีไกด์เถื่อนเลย
“ฉะนั้น ให้พอกันที ให้กรณีเขาพระวิหารเป็นกรณีสุดท้ายสำหรับนักวิชาการขี้เกียจทั้งหลาย เพราะนักวิชาการดีต้องสั่งสมด้วยผลงานของตัวเอง ไม่ใช่ลอกเขามาแบบนี้ ไม่เช่นนั้นประเทศนี้ก็จะต้องเสียดินแดนนับครั้งไม่ถ้วนในอนาคต วันนี้เองกระทรวงศึกษาฯ ก็ไม่ให้ความสำคัญเรื่องประวัติศาสตร์แล้ว ผิดกับประเทศมหาอำนาจทุกประเทศ ที่วิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาภาคบังคับ สอนกันมาตั้งแต่ชั้นประถม 1 เพราะถ้าเป็นมนุษย์แล้วก็ต้องศึกษารากเหง้าของตัวเอง ถ้าจะลืมสกลุตัวเองอย่างนักวิชาการบางคนในปัจจุบัน จะเกิดมาเป็นมนุษย์ทำไมกัน”