“พิเชฐ” แจงประชาชนไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งเรื่องรื้อเวที-เขาพระวิหาร ชี้ ตำรวจรู้หน้าที่ตัวเองดี และศาลไม่ได้บังคับคดี-คำสั่งรื้อถอนเวที ส่วนกรณีเรื่องพระวิหารเช่นเดียวกัน ถ้า “นพเหล่” ไม่ลงนามวันที่ 5 ก.ค.นี้ ไม่น่ากังวลใจ หากมีการลงนามรัฐบาล และพวกทั้งหมดต้องรับผิดชอบ ชี้ อีกไม่กี่วันจะได้รู้ว่ารัฐบาลนี้จะอยู่หรือไป เมื่อศาล รธน.มีคำวินิจฉัย
วันนี้ (3 ก.ค.) เมื่อเวลา 18.50 น.นายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีตรองประธานวุฒิสภา และอดีต ส.ว.จังหวัดนครราชสีมา ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ กล่าวว่า วันนี้ทั้งวันได้รับโทรศัพท์อยู่ 2 เรื่อง โดยเรื่องแรกนั้น เป็นเรื่องที่ตำรวจจะมารื้อเวที ตนจึงได้บอกกับคนที่เป็นห่วงว่าไม่เป็นไร เนื่องจากพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง นั้น น่าจะเข้าใจภาระหน้าที่ของตัวเอง น่าจะเข้าใจบทบาทของพนักงานตำรวจว่าควรจะทำ แค่ไหนอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้เป็นคำสั่งของศาลปกครอง ถ้าจะมีการบังคับคดี หรือให้ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้น ไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจ แต่เป็นหน้าที่ของโจทย์ที่เป็นครูผู้หญิงคนหนึ่งที่ไปพบศาลปกครอง และเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่มาดำเนินการรื้อเวที ถ้าหากเราไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา
“เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อคำพิพากษาชัดเจน และได้พูดกันหลายครั้งแล้ว ซึ่งจะย้ำกันอีกครั้ง ว่า เราได้เปิดเส้นจราจรให้ในถนนพิษณุโลก และถนนพระราม 5 ได้งดการใช้เครื่องขยายเสียงตามคำสั่งของศาลปกครองเรียบร้อย และศาลได้บอกอย่างชัดเจนว่า ไม่ได้บังคับคดี และไม่ได้มีคำสั่งให้รื้อถอนเวที” นายพิเชฐ กล่าว
นายพิเชฐ กล่าวต่อว่า เรื่องที่สองนั้น เดิมคิดว่า เป็นเรื่องเก่าที่มีการพูดกันมานาน นั่นคือ เรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งหลายคนเป็นห่วงว่า วันที่ 5-6 ที่จะถึงวาระพิจารณากรณีปราสาทพระวิหารแก่คณะกรรมการมรดกโลก ตนได้บอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วง เนื่องจากลายเซ็นที่ นายนพดล ลงนาม ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา และกรรมการของยูเนสโก นั้น ไม่ได้ผ่านมติจากรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน ฉะนั้น เรื่องนี้จึงเป็นการกระทำโดยส่วนตัวของนายนพดล นอกจากนั้น ข้อบังคับของคณะกรรมการมรดกโลกทำให้อุ่นใจได้ ถ้ารัฐบาลไทยไม่เป็นเซ็นยินยอมในการประชุมที่จะถึงนี้ ปราสาทพระวิหาร จะยังไม่ถูกจดทะเบียน
“เนื่องจากข้อบังคับได้บอกว่า ถ้าจะจดโบราณสถาน สถานที่แห่งหนึ่งแห่งใดที่มีพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างประเทศสองประเทศ ประเทศใดประเทศหนึ่งจะจดทะเบียนเป็นมรดกโลกได้ ต้องได้รับความยินยอมจากประเทศที่มีพื้นที่ดินแดนติดกันก่อน และนี่เป็นการพิสูจน์รัฐบาลนี้อีกครั้งหนึ่ง หากพูดกันถึงขนาดนี้แล้ว และมีคำพิพากษาของศาลด้วยแล้ว ถ้ายังมีการไปยินยอมอีก คำว่าขายชาติยังรู้สึกว่าน้อยเกินไป” นายพิเชฐ กล่าว
นายพิเชฐ กล่าวต่อว่า การกระทำของ นายนพดล ทั้งหมด ถึงวันนี้ศาลปกครองได้วินิจฉัยไว้เป็นประเด็นหลักๆ 3 ประเด็น โดยบอกว่า ให้ระงับมติ ครม.ที่รัฐมนตรีต่างประเทศไปลงนามแถลงการณ์ร่วม เพราะเหตุว่า 1.อาจจะต้องผูกพันกับประเทศไทย ซึ่งอาจนำมาสู่ความสูญเสียกับประเทศไทย 2.ศาลบอกว่าอาจจะเป็นการทำลายน้ำหนักหลักดินแดน ที่ไทยเคยยึดถือเรื่องสันปันน้ำมาโดยตลอด ตั้งแต่ก่อน พ.ศ.2505 3.ศาลได้บอกว่าอาจเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน
นายพิเชฐ กล่าวต่อว่า ถ้าหากหลังวันที่ 5-6 หลังการประชุมที่ประเทศแคนาดาผ่านไป แล้วปรากฏว่า เราต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าการกระทำจะเกิดโดยรัฐบาลนี้ หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้จะต้องมีคนมารับผิดชอบ และคนที่รับผิดชอบคนที่หนึ่ง คือ นายนพดล คนที่สอง คือ ครม.ที่อยู่ที่นี่ แค่นั้นยังไม่พอ ยังจะต้องมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบกับประเทศชาคิ คือ ส.ส.278 คน ของพรรคร่วมรัฐบาลที่ยกมือให้กับ นายนพดล ในวันที่มีการอภิปราย
นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่จะต้องรับผิดชอบ นั่นคือ ข้าราชการ ทั้งอธิบดี, ปลัดกระทรวง, เจ้ากรมแผนผังทหาร หรือใครก็ตามที่ได้กระทำเพื่อเป็นการเอื้อให้เขมรเอาดินแดนของประเทศไทยไป และยังมีผู้นักวิชาการบางคน ที่ออกมาแสดงทัศนะเป็นจิ้งจกเปลี่ยนสี ซึ่งคนเหล่านี้ต้องรับผิดชอบด้วย เนื่องจากเป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ทั้งเฉพาะตน และพวกของตัวเอง ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เราจะต้องติดตามกันต่อไป ว่าได้ใช้จิตวิญญาณความเป็นคนไทยแค่ไหน
“อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าเรื่องนี้ผิดกฎหมาย สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับนพดลและรัฐบาลนี้ คือ พวกนี้จะถูกถอดถอนจากการเป็นผู้แทนรวมถึงรัฐบาล และจะต้องติดคุก” นายพิเชฐ กล่าว