อดีต ปธ.กก.มรดกโลกแห่งประเทศไทย “อดุลย์ วิเชียรเจริญ” เชื่อเหตุย้าย “วีรชัย พลาศรัย” พ้นกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ มาจากเรื่องเขาพระวิหาร เผยอดีตอธิบดีเคยขอคำปรึกษาก่อนถูกเด้ง 1 อาทิตย์ เชื่อเพราะขัดใจ “นพเหล่” ค้านเขมรจดมรดกโลกฝ่ายเดียว-ยันหากไทยรับรองแผนที่กัมพูชา ต้องเสียดินแดนรอบตัวปราสาทเพื่อทำเป็นเขตอนุรักษ์มรดกโลก
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการคมชัดลึก
วานนี้ (19 มิ.ย.) ศ.ดร.อดุลย์ วิเชียรเจริญ อดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลกแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ในรายการ คมชัดลึก ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนนัล ถึงกรณีการจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ว่า สมัยที่ตนยังเป็นประธานคณะกรรมการมรดกโลกอยู่ คณะกรรมการชุดของตนได้เคยเสนอแนะต่อกระทรวงการต่างประเทศไปแล้วตั้งแต่ต้นปี 2548 เพราะเมื่อครั้งนั้นกัมพูชาเคยมาติดต่อกับกระทรวงการต่างประเทศของไทย ว่า จะขอให้ไทยลงนามยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งตนก็ทักท้วงไปว่าไม่ได้เนื่องจาก หากขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหารจริง ก็จะต้องมีการจัดทำแผนจัดการอนุรักษ์พื้นที่โดยรอบตัวปราสาทด้วย ซึ่งเป็นข้อบังคับของการขึ้นทะเบียนโบราณสถาน
ในเมื่อกัมพูชาเป็นเจ้าของเฉพาะตัวปราสาท แต่พื้นที่รอบนอกปราสาทเป็นพื้นที่ของแผ่นดินไทย ดังนั้น การจัดทำแผนอนุรักษ์พื้นที่โดยรอบก็ต้องรุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินของไทยอย่างแน่นอน อีกทั้งหากขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทก็จะทำให้ขาดความสมบูรณ์ทางด้านประวัติศาสตร์เพราะมีโบราณสถานที่เป็นองค์ประกอบของปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในฝั่งไทย ดังนั้นและคณะกรรมการจึงเสนอให้กัมพูชาจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกันกับไทย แต่เมื่อเสนอไปอย่างนั้น ทางกัมพูชาก็ไม่ยินยอมมาเจรจากับไทยอีกเลย ซึ่งจากระยะเวลาที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ยืนยันจุดยืนเช่นนี้มาโดยตลอด
จนกระทั่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก่อนที่ นายวีรชัย พลาศรัย จะถูกปลดออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เพียงหนึ่งสัปดาห์ เจ้าหน้าที่ของกรมดังกล่าวได้มาปรึกษาตนอีกครั้งว่าหากไทยจะยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยมีเงื่อนไขว่า การขึ้นทะเบียนตัวปราสาทจะไม่กระทบกระเทือนกับเรื่องแบ่งปันเขตแดน และกัมพูชาจะต้องมาคุยในเรื่องแบ่งปันเขตแดนกับไทยให้เสร็จสิ้น อย่างนี้จะได้หรือไม่
ตนก็ตอบว่า “ไม่ได้หรอกสองข้อนี้ก็เป็นแค่ข้ออ้าง เพราะกัมพูชาต้องทำอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่ยอมทำเสียที ดังนั้นหากเราไปรับข้อเสนอนี้ก็เท่ากับให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนตัวปราสาทไปโดยที่เขาได้ประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว” ซึ่งเมื่อกล่าวเช่นนั้นเจ้าหน้าที่ก็รับความคิดเห็นไป โดยหลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ อธิบดีวีรชัย ก็ถูกปลด จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า ตัวอดีตอธิบดีวีรชัย คงจะยืนยันอย่างที่ตนได้แนะนำไปว่าต้องจดทะเบียนร่วมกันเท่านั้น จึงทำให้ถูกปลดออกจากตำแหน่งในที่สุด
ดังนั้น การที่รัฐบาลไทยยินยอมตามข้อตกลงของกัมพูชานั้น จะมีเรื่องตามมาอีกมากเพราะถึงแม้แผนที่ที่รัฐบาลตอบตกลงไปจะมีแค่เพียงตัวเขาพระวิหารที่ขึ้นเป็นมรดกโลกแต่เมื่อเขาพระวิหารได้ขึ้นเป็นมรดกโลกแล้วจริงๆ ไทยก็ต้องเผชิญปัญหาการสูญเสียแผ่นดินเพื่อนำไปเป็นเขตอนุรักษ์พื้นที่โดยรอบของปราสาทพระวิหารอยู่ดี ดังนั้น วันนี้ตนจึงต้องออกมาพูด
“ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ ที่เขารีบลงนามแบบลุกลี้ลุกลน และกล่าวความที่ไม่จริง ผมก็คงไม่ออกมาให้สัมภาษณ์หรอก แต่เมื่อมาทำเมื่อวันก่อน ผมก็เอะใจว่าหรือข่าวที่ได้ยินว่า มีผลได้เสียแลกเปลี่ยนผลประโยชน์อะไรต่ออะไร ก็จะให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร มีอย่างเดียวก็คือรีบลงนามเพื่อที่จะผูกมัดประเทศไทย แล้วก็ปิดปากเรา ผมคิดว่าใครก็ตามที่มีความรู้สึกว่า เราควรจะรักษาประโยชน์ชาติคงทนไม่ได้ ซึ่งผมก็ยอมไม่ได้” ศ.ดร.อดุลย์ กล่าว