“รมว.ต่างประเทศ” สอนมวย “หมัก” ให้ปรับตัวนัดพรรคร่วมเจรจา แนะลูกกรอกเลิกกระพี้การเมือง เสี้ยมสอนพลังแม้วชะลอแก้ไข รธน.เพื่อรอทำประชามติและหันไปสนใจปัญหาปากท้อง ปชช.ก่อน
วันนี้ (5 มิ.ย.) ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลแสดงความไม่พอใจนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการออกมาพูดเรื่องการปราบปรามการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ส่วนตัวเห็นว่าการทำงานร่วมกัน ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลจะต้องมีการปรับท่าทีเข้าหากัน อะไรที่พรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วยก็สามารถปรับกันได้ เพราะปัญหาของชาติมีมาก จึงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีเพียงอย่างเดียว ซึ่งนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ก็บอกว่าเข้าใจแล้ว โดยยืนยันว่าจะไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล
“นายกรัฐมนตรีเป็นคนน่ารัก แต่ก็ต้องมีการปรับตัวนัดพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลมากขึ้น และพรรคพลังประชาชนจะต้องเสนอสาระมากขึ้น หลังจากได้ทำงานมา 3-4 เดือน แม้จะเร่งทำงาน แต่ตอนนี้บ้านเรามีแต่กระพี้การเมือง แต่สาระบ้านเมืองน้อยมาก ดังนั้น รัฐบาลต้องทำงานมากขึ้น ผมอยากเห็นการประชุมแกนนำนอกรอบ แกนนำรัฐมนตรีนอกรอบ เพื่อหารือถึงสาระบ้านเมืองแทนที่จะหารือแต่เรื่องการเมือง” นายนพดล กล่าว
เมื่อถามว่าจะทำอย่างไรกับการที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน มุ่งแต่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายนพดล กล่าวว่า น่าจะชะลอการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรอการลงประชามติก่อน หากยื่นแก้รัฐธรรมนูญตอนนี้เท่ากับการทำประชามติจะไม่มีผล จึงควรฟังประชาชนก่อน ถือเป็นการเคารพความรู้สึกของประชาชนมากกว่า แต่ยอมรับว่า ส.ส.พรรคพลังประชาชนส่วนหนึ่งสนใจการทำงาน แต่อีกส่วนหนึ่งสนใจเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ส่วนตัวคงทำอะไรไม่ได้ แต่ ส.ส.มีวินัยคงต้องให้เป็นมติพรรค ซึ่งพรรคน่าจะมีมติว่าควรรอทำประชามติก่อนจะดีหรือไม่ ประชาชนจะได้ไม่สับสน
นายนพดล กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศมีปัญหาเรื่องค่าครองชีพ ซึ่งตนได้เสนอแผนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพื่อดึงรายได้เข้าประเทศ โดยจะมีคณะกรรมการระดับชาติเข้ามาดูแลเกี่ยวกับเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งในปีหน้าจะมีการประกาศนโยบายการท่องเที่ยวไทยจะมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านซีเอ็นเอ็นไปทั่วโลก มีการทำโปรโมชันมาเมืองไทยได้สิทธิพิเศษอย่างไร โดยตนจะเสนอรายละเอียดในการประชุมที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จะเข้าร่วมประชุมด้วย โดยโครงการดังกล่าวน่าจะใช้งบประมาณหลายพันล้านบาท หรืออาจจะถึงหมื่นล้านบาท เพราะต้องทำการประชาสัมพันธ์อย่างใหญ่ แต่รับรองว่าทุกบาทที่ลงไปจะได้ผลกลับคืนมา โดยที่ทั่วโลกจะต้องคิดว่าประเทศไทยเป็นที่เที่ยวสุดท้ายก่อนที่จะตาย
