“สนธิ ลิ้มทองกุล” อัดยับ “ประชาธิปไตยแบบตัวแทน” ทำสังคมเสื่อมหนัก แนะภาคประชาชนลุกขึ้นสู้ขจัดวงจรอุบาทว์พ้นประเทศ ขณะเดียวกัน เสนอแบ่งสภาฯ ออกเป็น 3 ส่วน เปิดทางภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัย
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีชั่วคราวบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อเวลา 03.50 น.ว่า 2 ถึง 3 ปี เรามัวแต่พูดถึงเรื่องของประเทศที่เราต้องการ พูดถึงการทุจริตคอร์รัปชัน พูดถึงการไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เราไม่เคยพูดถึงเลยว่าเราจะทำอย่างไรกับประเทศไทยของเรากันดี
ที่พูดไม่ได้หาเสียง แต่กำลังจะวาดภาพประเทศไทยที่ควรจะเป็น ตั้งแต่ปี 2475 ถึงปัจจุบัน เราร่างรัฐธรรมนูญไม่รู้กี่สิบฉบับ ร่างบนพื้นฐานของศูนย์ ไม่มีหลักการปกครอง ทั้งๆ ที่การร่างรัฐธรรมนูญต้องอยู่บนพื้นฐานที่เห็นพ้องต้องกัน ให้ทุกคนมีสิทธิในการแสดงออกอย่างเต็มที่
ร่างรัฐธรรมนูญต้องตั้งอยู่บนหลักการปกครอง นำหลักการปกครองมาให้ประชาชนในแต่ละภาคร่วมแสดงความคิดเห็น โดยเมื่อเห็นพ้องต้องกันก็เปิดให้ประชาชนร่วมลงประชามติ หากเสียงเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องยอมรับ เสร็จแล้วค่อยนำหลักการปกครองนี้มาใช้กำหนดลงไปในรัฐธรรมนูญ เท่ากับเรามีหลักในชีวิตในการเดินหน้าต่อไปในอนาคต
นายสนธิ กล่าวต่อว่า การเมืองไทยทุกวันนี้กำลังหมุนไปสู่วงจรอุบาทว์ ยึดถือประชาธิปไตยแบบตัวแทน จัดให้มีการเลือกตั้ง พรรคใดมี ส.ส.มากสุด เป็นรัฐบาล ฟังดูมีเหตุผล แต่เมื่อดูลึกลงไป จะเห็นว่า ประชาธิปไตยลักษณะนี้เปรียบเป็นเสมือนการลงทุน ใครมีเงิน คนนั้นก็มีเสียง คนตัวเล็กๆ จึงไม่มีสิทธิมีเสียงเข้าไปต่อสู้ในสภาผู้แทนราษฎรได้เลย
วันนี้นักการเมืองกำลังตกเป็นทาสของเงิน สังคมไทยกำลังเข้าสู่ระบบอุปถัมภ์ สังคมไทยกำลังปิดกั้นไม่เปิดให้ภาคสังคมมีส่วนร่วม เราจะปฏิเสธองค์ประกอบสำคัญเหล่านี้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เราต้องเข้าใจตัวเรา แล้วค่อยมาออกแบบประชาธิปไตย ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
นายสนธิ ยังเสนอแนวคิดการมีส่วนร่วม โดยเสนอให้แบ่งสภาผู้แทนราษฎรออกเป็น 3 ส่วน โดยสองส่วนมาจากการแต่งตั้ง ส่วนหนึ่งมาจากการแต่งตั้งข้าราชการที่เกษียณแล้ว หรือจากบุคคลสำคัญ ส่วนที่สองมาจากตัวแทนภาคประชาชน ตัวแทนกรรมกร หรือตัวแทนจากสหภาพรัฐวิสาหกิจแรงงานทุกภาคส่วน
สุดท้ายคือ นักการเมือง จะมีผู้แทนราษฎรได้เพียงคนเดียวต่อหนึงจังหวัด เชื่อว่าระบบนี้จะทำให้สภาผู้แทนราษฎรเกิดการเปลี่ยนแปลง อำนาจการต่อรองกระจายลงสู่ทุกภาคส่วน ไม่เปิดช่องให้พรรคการเมือง และนักการเมืองเข้ามาแสวงหากำไร หลังลงทุนไปอย่างมากในการเลือกตั้ง
นี่คือการเมืองแบบใหม่ นี่คืออนาคตของประเทศไทย ถ้าเรายังเล่นการเมืองแบบเก่า ประชาธิปไตยแบบตัวแทน มันก็กลับไปในรูปแบบเดิม ซื้อเสียง ขายเสียง ลงทุน ถอนทุน โชคร้ายหน่อยไปเจอคนโลภมาก ขายชาติ ขายบ้านขายเมืองไปเลย แล้วพวกเราก็เป็นข้าทาส
เรามานั่งกันตรงนี้ อดหลับอดนอนเพื่ออะไร เพื่อสู้การขายชาติใช่หรือไม่ รัฐบาลชุดนายสมัคร สุนทรเวช ก็เป็นเพียงแต่สายพันธุ์ที่มาทำชั่วแบบนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อรัฐบาลนายสมัครหมดไปแล้ว สายพันธุ์นี้จะหมดตามไป มันยังอยู่ มันยังอยู่ เพราะฉะนั้นแล้วเราต้องเปลี่ยน หรือหาทางสร้างระบบใหม่ ที่มาตอบสนองข้อเท็จจริงของสังคมไทยก็คือว่าสังคมไทยที่เรารู้จักนั้น เป็นสังคมแบบไหน เราเข้าต้องเข้าใจตัวเราเอง เราถึงออกแบบการเมืองที่เหมาะกับเรา
ประเทศไทยต้องการประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบตัวแทน มันจะมีคนประเภท พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ตลอดเวลา หมดทักษิณ 1 ก็เกิดทักษิณ 2 หรือ 3 ตามมา การเมืองลักษณะนี้ เป็นการเมืองแบบแสวงหาผลกำไร นักการเมืองกดขี่ข้าราชการ ข้าราชการกดขี่เจ้าของธุรกิจเถื่อน คนเหล่านั้นทนไม่ไหวต้องนำเงินลงขันมาให้กับข้าราชการแล้วส่งต่อนักการเมืองประเภทนี้อีกทอด
ดังนั้น หนึ่งเสียงของเราจึงสิทธิ สามารถเปลี่ยนสังคมได้อย่างมากมาย หากปล่อยให้การเมืองแบบเดิมอยู่ต่อไป ก็คงไม่พ้นการซื้อเสียง ขายชาติ วงจรอุบาทว์ก็ยังอยู่ รัฐบาลก็ยังทำชั่ว เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องสร้างระบบขึ้นมาใหม่ ออกแบบการเมืองที่เหมาะกับเรา ไม่จำเป็นต้องไปเลียนแบบประเทศใด เพียงแต่ยึดถือหลักการคุณธรรม จริยธรรม ก็เพียงพอแล้ว
“ประเทศไทยไม่ใช่จะแก้ไม่ได้ แต่ประเทศไทยต้องการความกล้าหาญ ประชาชนต้องสู้ ถึงแม้จะยาวนานแค่ไหนก็ต้องสู้ นักการเมืองอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไม่มีสาระอะไร ผมไม่จำเป็นที่ต้องจดจำ เราต้องมองป่าทั้งป่า อย่ามองเพียงต้นไม้เพียงต้นเดียว เมื่อมองแล้วเราจะเข้าใจปัญหาที่แท้จริง” นายสนธิ กล่าว