“หมัก” แถลงเดี่ยวผ่าน NBT หลังเยือนพม่า ยันสถานการณ์ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด ชมเปาะรัฐบาลหม่องทำงานดี รวดเร็ว ช่วยเหลือประชาชนดีเยี่ยม ยิ้มหน้าบานทหารพม่าให้ทีมช่วยเหลือไทยเข้าได้ประเทศเดียว แต่ชาติอื่นไม่รับ
คลิกที่นี่ เพื่อฟังการให้สัมภาษณ์นายสมัคร สุนทรเวช ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศพม่า
วันนี้ (14 พ.ค.) เวลา 20.30 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวผ่านทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ถึงเรื่องของการเยือนพม่าในช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า สาเหตุที่ตนเดินทางไปพม่าในครั้งนี้ก็เนื่องจากทางเอกอัครราชทูต ของสหรัฐอเมริกา อังกฤษ รวมถึงสหประชาชาติ ได้ขอให้ตนช่วยเจรจากับทางพม่า เพื่อขอให้ทางการพม่าอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ต่างชาติเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุไซโคลนนาร์กีส ซึ่งตนเดินทางถึงพม่าเวลาประมาณ 11.30 น. โดยมี พล.อ.เต็ง เส่ง นายกรัฐมนตรีสหภาพพม่าให้การต้อนรับ
นายสมัคร กล่าวว่า การพูดคุยกันในครั้งนี้ทำให้ได้ทราบข้อมูลตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ทางการพม่าระบุว่าตอนนี้มีประมาณ 31,000 คน และสูญหายอีก 29,000 คน ซึ่งการเกิดภัยพิบัติครั้งนี้ทางการพม่าก็ไม่ได้นิ่งนอนใจอย่างที่ต่างประเทศเข้าใจ เพราะหลังจากพายุสงบลง พล.อ.เต็งเส่ง ผู้นำพม่าก็ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายในทันที จากนั้นก็ได้มอบหมายงานให้รัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ร่วมกันดำเนินการอย่างเป็นระบบและเร่งด่วนโดยใช้ทหาร 4 กองพลในการเข้าไประดมความช่วยเหลือผู้รอดชีวิต ซึ่งแม้แต่ทางเอกอัคราชทูตไทยในพม่าก็ยังบอกว่า ทางการพม่าทำงานกันอย่างกระฉับกระเฉง
“ทางการพม่า เขาเอาตัวของเขารอด เขามีระบบของเขา จะว่าเผด็จการหรือไม่เราไม่รู้รายละเอียดหรอก แต่เขาป้องกันภัยพิบัติของเขาได้ด้วยตัวของเขาเอง” นายสมัครกล่าว
นายสมัครยังกล่าวด้วยว่า จากการที่ทางสหรัฐอเมริกานำเสนอข่าวว่าประชาชนตายกว่าแสนคน และมีคนที่กำลังจะตายอีกมาก แต่ทางการพม่ากลับไม่ยอมรับความช่วยเหลือนั้น มีคนพม่าคนหนึ่ง ซึ่งตนไม่สามารถบอกชื่อได้ กล่าวกับตนว่า “อยากจะดูซิว่าตอนที่เกิดเหตุที่นิวออร์ลีนเป็นอย่างไร เดือนหนึ่งน้ำยังออกไม่หมด ทะเลาะกัน เกิดเหตุแล้วประธานาธิบดียังไปไม่ถึงที่เกิดเหตุ บ่นกันตั้งหลายหนกว่าจะนั่งเครื่องบินไปดูทีหลัง นั่นหรือประเทศที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีทั้งหลาย”
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า จากการที่ตนได้ไปพบเห็นสภาพในเมืองย่างกุ้งพบว่าสภาพดีขึ้นเร็วมากอย่างไม่น่าเชื่อ โดยทางการพม่าแจ้งให้ทราบว่า 7 วันหลังจากเกิดเหตุทางการก็สามารถคลี่คลายสถานการณ์ในพื้นที่อดีตเมืองหลวงได้เกือบทั้งหมดแล้ว ทั้งระบบไฟฟ้า และน้ำปะปา มีการซ่อมบ้านเรือนจนคนอยู่ได้ ถนนหนทางรถโดยสารสาธารณะก็ใช้ได้ตามปกติแล้ว เหลือก็เพียงซากปรักหักพังบางส่วนที่ยังเก็บกู้ไม่หมด
ส่วนพื้นที่ในจังหวัดอื่นๆ ที่ประสบภัยทางการพม่าได้ทำการอพยพคนเหล่านั้นมาอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้รับความเสียหายจากพายุ ซึ่งรัฐบาลจัดเป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยไว้ให้ โดยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนครั้งนี้มีกว่า 600,000 คน ถูกจัดอยู่ตามศูนย์ช่วยเหลือแห่งละประมาณ 1,000 คน มีศูนย์รองรับทั้งหมด 600 กว่าแห่ง และในครั้งนี้ตนก็ได้เดินทางไปยังที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ว ก็พบว่าทางการพม่ามีการบริหารจัดการช่วยเหลือที่ดี มีการนำเต็นท์ที่ได้รับบริจาคมากางให้แต่ละครอบครัวอยู่ ภายในเต็นท์ก็มีอุปกรณ์เครื่องใช้ที่จำเป็นไว้ให้ โดยหลังจากเหตุการณ์คลี่คลายแล้วจึงค่อยให้คนเหล่านั้นกลับไปที่เดิม
การพูดคุยในครั้งนี้ ทางการพม่ากล่าวด้วยว่า อาหารในพม่ายังคงมีพอที่จะช่วยเหลือประชาชนของตนเองได้ ทางภาคเอกชนของพม่าเองก็เข้ามาช่วยเหลืออยู่ แต่อย่างไรก็ตามทางการไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจและความช่วยเหลือของต่างชาติ ในการบริจาคสิ่งของต่าง ๆ มาให้ หรือแม้แต่ต้องการมาเยี่ยมมาชมทางการก็ไม่ขัดข้อง แต่ไม่ต้องการให้ต่างชาติยกคณะคนจำนวนมากเข้าไปในบ้านเมืองของเขา
“เรื่องอย่างนี้นายกรัฐมนตรี กับนายกรัฐมนตรีพูดคุยกัน จะถามว่าเค้าโกหกกันได้ไหม ผมไม่ได้นัดหมายจะมาซักไซร้ไล่เรียงอะไร แต่นายกเต็งเส่งเขาก็พูดโดยมีข้อมูลตัวเลขมาให้ดูหมด”
นายสมัครยังกล่าวด้วยว่า นายพลเต็ง เส่ง ได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับตนว่า ทางการพม่าอยากได้รับความช่วยเหลือจากไทยในการส่งทีมแพทย์เข้าไปดูแล แต่ของประเทศอื่นยังไม่ต้องการ ทำให้ตอนนี้ ตนได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข ประสานกับทางสถานเอกอัครทูต เตรียมนำทีมแพทย์ 20 ทีม และทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด 20 ทีม เข้าไปช่วยเหลือที่ประเทศพม่าแล้ว
ด้านความช่วยเหลือจาก 27 ประเทศที่ส่งสิ่งของเข้ามาก่อนหน้านี้ทางการพม่าก็ได้รับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงต้องการความช่วยเหลืออื่นๆ เพิ่มเติม เช่น เครื่องสูบน้ำขนาดเล็ก เรือขนาดเล็ก รถไถนา สังกะสี ตะปู ผ้าพลาสติก ฯลฯ เพื่อไว้สำหรับซ่อมแซม หรือสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ซึ่งตนก็ได้รับปากว่าจะพยายามจัดหาความช่วยเหลือดังกล่าวไปให้ อีกทั้งการพบปะพูดคุยในครั้งนี้ ตนยังได้แนะนำผู้นำพม่าไปด้วยว่า หากประเทศใดขอเข้ามาดูสภาพความเสียหาย ก็น่าจะให้ดู อาจไม่ถึงขั้นต้องเทียบเชิญให้ไปดู แค่อนุญาตให้มาดูก็พอแล้ว เพื่อที่ต่างชาติจะได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง
“การไปครั้งนี้ ผมไม่ได้แส่อะไรนักหนา เพียงแต่ว่าได้ไปเยี่ยมเขา แล้วก็พูดจาผูกอัธยาศัยกัน เข้าใจแนวทางของเขา ทั้งหมดนี้ก็เป็นหน้าที่ไปทำงานระหว่างประเทศ จะได้ประโยชน์อย่างไรผมก็คิดว่า เพื่อนบ้านของเรา อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้คนทั่วไปได้เข้าใจว่าเขาเป็นอะไรอย่างไร ผมไปดู ไปฟังแล้วก็เอาข้อเท็จจริงมาแสดง ใครจะเชื่อไม่เชื่อยังไงก็เป็นเรื่องที่ผมจะต้องพูดจากับคนที่เขาขอแรงผมไป” นายสมัครกล่าวทิ้งท้าย