“ปธ.ยกร่าง รธน.” พลังแม้วอ้างร่างที่ส่งให้พรรคการเมืองพิจารณาถือที่เป็นกลางที่สุด เข็นปี 40 เป็นตัวตั้ง ยันไม่ได้ถ่วงเวลาเพื่อดึง ส.ส.เข้าพรรค โวยสื่ออย่าจ้องจับผิดแต่เรื่ององค์กรอิสระ
วันนี้ (30 เม.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่พรรคชาติไทยระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้สุดท้ายพรรคพลังประชาชนทำเพื่อตัวเองว่า พวกเราได้รับมอบหมายจากวิปรัฐบาลที่ประกอบด้วยตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ ที่ร่วมรัฐบาล และตนก็เป็นหัวหน้าในการยกร่างฯ เมื่อยกร่างฯ แล้วก็ให้แต่ละพรรคกลับไปดูรายละเอียด ซึ่งตนได้บอกแล้วว่าร่างฯที่ให้ไปนั้นเป็นร่างฯ กลางที่สุด หมายความว่าเราก็เอารัฐธรรมนูญ 40 เป็นตัวตั้งและมีบทเฉพาะกาล ส่วนพรรคการเมืองต่างๆ เมื่อนำไปดูแล้วจะเห็นสมควรอย่างไรก็เป็นดุลพินิจโดยอิสระของพรรคการเมือง ซึ่งอาจจะไปแก้ไขจะไปใช้วิธีการแปรญัตติก็สุดแต่
“ผมว่าขณะนี้เมื่อพรรคการเมืองได้เห็นร่างและมีความเห็นอย่างไรก็ไปคุยกันในบรรดาพรรคการเมืองแต่ละพรรคจะคุยกัน จะแก้ไขในชั้นนี้หรือจะไปแก้ไขในชั้นแปรญัตติก็แล้วแต่ ผมถือว่าทำหน้าที่ให้ในฐานะที่ได้รับมอบหมายยกร่างให้เรียบร้อยทุกอย่าง แต่ใครจะไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าเพื่อประโยชน์พรรคนั้น เพื่อประโยชน์พรรคนี้ก็เป็นดุลพินิจที่ทำไปเป็นร่างฯ ที่เป็นกลางที่สุด” นายชูศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามถึงการเขียนบทเฉพาะกาลที่ระบุให้องค์กรอิสระบางองค์กรมีอายุ 180 วัน นายชูศักดิ์ กล่าวว่า เขามีเหตุผลของเขาเพราะองค์กรอิสระที่ว่ามาบางองค์กรมีกระบวนการดำเนินการตามกฎหมายที่มีอยู่ เมื่อเขามองว่าดำเนินการมาตามกฎหมายที่มีอยู่และขั้นตอนถูกต้องตามรัฐธรรมนูญต่างๆ เขาก็ถือว่าให้อยู่ต่อไป แต่อย่างกระบวนการบางเรื่องหรือองค์กรบางเรื่องซึ่งตนเคยบอกแล้วว่าความคิดของเขาไม่ได้มาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 40 หรือ ปี 50 ก็บอกไม่ให้สรรหาใหม่ ซึ่งความคิดก็มีอยู่แค่นั้น ตนก็อธิบายชี้แจงแต่ถ้าสื่อบอกว่าองค์กรนั้นต้องอยู่ แตะต้องไม่ได้ ก็เป็นความเห็นของสื่อ แต่ถ้าถามตน ตนก็ไม่ได้เลือกปฏิบัติ เขาก็มองว่าอันไหนที่มาโดยกระบวนการที่ถูกต้องครบถ้วนเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ตนเคยยกตัวอย่างศาลรัฐธรรมนูญเมื่อเขาสรรหามาอย่างถูกต้องก็ไม่ได้ว่าอะไรก็ให้อยู่ต่อทำไมสื่อไม่พูดแบบนี้บ้าง แต่สื่อก็เจาะมาถามเฉพาะเรื่องนี้ว่าทำไมไม่อยู่ต่อ ตนก็ได้แต่ตอบว่าหลักเป็นอย่างนี้ ส่วนจะไปแปรญัตติหรือไม่ อยากให้อยู่ต่อหรือไม่ก็ไปว่ากันในชั้นกรรมาธิการก็จบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคชาติไทยมองว่าการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่เหมือนวางยาเพราะในที่สุดแล้วถ้าแก้ไม่ทันก็จะเกิดการยุบพรรคจะทำให้ส.ส.ไหลเข้าพรรคพลังประชาชน นายชูศักดิ์ ถึงกับร้องว่า “โอย...ไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก เราจะไปคิดอย่างนั้นได้อย่างไร เมื่อมีร่างฯ ถ้าจะยื่นก็ยื่นท้ายที่สุดกระบวนการแก้ไขจะเป็นอย่างไร ใช้เวลาเท่าไหร่ก็เป็นเรื่องของกระบวนการทางรัฐสภา เราไม่ได้คิดว่าจะทันหรือไม่ทันด้วยซ้ำไป แต่พร้อมที่จะรับกฎ กติกาตามระบบรัฐสภา ไม่ได้คิดว่าถ้ายุบแล้วใครจะไปอยู่อย่างไรก็ไม่ได้ว่าอะไร ซึ่งอาจจะไม่ยุบก็ได้ใครจะไปรู้ถูกหรือไม่”
เมื่อถามว่า ส.ส.อีสานของพรรคพลังประชาชนมีการเสนอว่าให้มีการทำประชามติระหว่างรัฐธรรมนูญปี 40 กับ ปี 50 จะเอาอย่างไหนเพื่อลดแรงต้าน แรงกดันต่างๆ คิดว่าแนวทางจะเป็นไปได้หรือไม่ รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ถามว่ารัฐธรรมนูญปี 40 ต้องแก้หรือไม่ ถ้าเอาก็ต้องมีการแก้ถูกหรือไม่ จะไม่แก้เลยใช่หรือไม่ มันก็ง่ายถ้าประชาชนเอาปี 40 หรือจะเอาปี 50 ก็สุดแล้วแต่ ตนมองว่าความคิดของคณะยกร่างฯที่ผ่านมาดีที่สุดเอาปี 40 เป็นตัวตั้งไปก่อนแล้วถ้าจะแปรญัตติประเด็นใดไปแปรเอา เพราะเราเคยคิดกันว่า ฉบับ 50 บางส่วนก็ดี เช่น ระบบ 95 เปอร์เซ็นต์ก็ดีต้องไปแปรญัตติ แต่ถ้าปี 40 ต่อไปนี้ก็จะเป็นปัญหาแบบเก่า ส.ส.ไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ประชุมรัฐสภาไม่ได้ เป็นต้น แต่ที่เราต้องเอาปี 40 เป็นตัวตั้งเพราะไม่อยากจะมาตอบว่าทำไมเอาอันนั้นมา ทำไมไม่เอาอันนี้มาต้องตอบปัญหาสื่อเป็นรายข้อดีที่สุดให้รัฐสภาพิจารณาว่าสิ่งไหนดีก็แปรญัตติกัน
ต่อข้อถามว่าที่ให้ไปแปรญัตติกันในสภาแสดงว่าพรรคร่วมเสียงไม่แตกใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ ขณะนี้หมายความว่ารอความชัดเจนจากพรรคการเมืองต่างๆ ว่าจะเดินแนวทางใด หมายความว่าหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ นัดกันคุยอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะได้ข้อยุติว่าจะเอาอย่าง
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า พรรคร่วมมองกันว่าการแก้รัฐธรรมนูญทางพรรคพลังประชาชนอาจจะทอดเวลาออกไปเพื่อหวังผลการดูด ส.ส.เข้าไปสังกัดพรรค นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกันเลย ถ้าสื่อแปลอย่างนั้นก็หมายความว่าพรรคพลังประชาชนไม่รีบให้แก้เร็วๆ ไม่กลัวว่าจะถูกยุบบ้างสื่อทำไมไม่คิดอย่างนั้นบ้าง ตนไม่รู้ว่าใครตั้งข้อสังเกตแม้กระทั่งร่างที่ยกร่างฯให้บางทีก็วิจารณ์ในสิ่งที่ไม่เข้าใจกฎหมาย เช่น พรรคหนึ่งบอกว่าเอาปี 40 มาใช้ ส.ส.เป็นรัฐมนตรีแล้วไม่ต้องพ้นแก้เพื่อตัวเองอีกเป็นการเข้าใจผิด ทั้งที่ไม่ได้แก้เพื่อตัวเอง