“ไชยวัฒน์” ตอกสำนึก “หมัก” ควรเป็นนายกฯ ของประเทศไทย ไม่ใช่เป็นนายกฯ สมาคมโต้วาที ก่อนงัดมาตรา 87 อัด “เหลิม” ไม่ควรได้ “ดอกเตอร์” หากใช้ท่าทีผรุสวาจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ด้าน “พิภพ” ฮึ่มความรุนแรงของฝ่ายตรงข้ามช่วยปลุกเร้าความเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี คืนวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งเปิดประเด็นซักถามนายพิภพ ธงชัย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ประธานสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด และนายโสภณ องค์การ คอลัมน์นิสต์อาวุโส ถึงท่าทีของฝ่ายรัฐบาลที่ออกมาตอบโต้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งประกาศจุดยืนที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยกล่าวหาว่า พันธมิตรฯ จะฟ้องร้องฐานทำให้ประเทศชาติเสียโอกาส
โดยนายพิภพ กล่าวว่า ถ้าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องถามประชาชน 14 ล้านเสียงเสียก่อน เพราะเป็นรัฐธรรมนูญประชามติ ซึ่งทุกคนรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังของการจัดตั้งรัฐบาล และนโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 309 ซึ่งเป็นผลประโยชน์โดยตรงกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ขณะนี้เริ่มมีความหวังกับสังคมไทย ซึ่งเริ่มมองเห็นกระบวนยุติธรรม น่าจะเข้าไปแก้ไขกรณีนักการเมืองทุจริต ประพฤติมิชอบ และนั่นจะเป็นทางออกของสังคมไทย
“ความรุนแรงของฝ่ายตรงข้ามกับพันธมิตรฯ นั้น ผมคิดว่าน่าจะช่วยส่งเสริมความเคลื่อนไหวให้กลุ่มพันธมิตรฯ ดีขึ้น เพราะประชาชนเห็นชัดเจนว่า ฝ่ายไหนใช้สันติวิธี และฝ่ายไหนใช้ความก้าวร้าว ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าฝ่ายรัฐบาลทำไมไม่วิพากษ์วิจารณ์อีกฝ่ายหนึ่งเลย อีกทั้งมีการกระทำผิดซึ่งหน้า แต่ตำรวจไม่จับกุมทั้งการทำอนาจาร และการขว้างปาสิ่งของเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งๆ ที่พันธมิตรฯ ไม่ได้สร้างเงื่อนไขก่อกวน หรือต้องการที่จะชนฝ่ายตรงข้ามแต่อย่างใด”นายพิภพ กล่าว
ด้าน นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า ตนเองอยู่ในเหตุการณ์ที่ธรรมศาสตร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่พัฒนาการป้องกันได้ดีขึ้นโดยเอารถบรรทุกไปขวางที่ประตูหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่เจ้าหน้าที่อาจจะลืมดูกฎหมายมาตรา 87 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐต้องส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง แต่ปรากฏว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย กลับมีท่าทีผรุสวาจากับกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งถือว่าผิดตามาตรา 87 ฉะนั้นสิ่งที่ดอกเตอร์รามคำแหงท่านนี้ทำ จึงไม่รู้ว่าได้ดอกเตอร์มาได้อย่างไร
“พันธมิตรฯ ไม่ได้คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ที่รัฐบาลจะทำ เข้าข่ายการกระทำที่เป็นปรปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นอกจากนี้ยังมีการปล่อยให้มีการจาบจ้วงต่อสถาบัน ซึ่งเวปไซต์ต่างๆ ออกมาเต็มไปหมด ถึงแม้ว่าเวปไฮ-ทักษิณ จะปิดไปแล้ว โดยรัฐบาลไม่ทำอะไรเลยทั้งๆ ที่เรื่องล่อแหลมทางการเมือง ซึ่งในสถานการณ์ปกติถ้ามีการหมิ่นในเชิงแบบนี้ ยังไม่มีองค์กรไหนตั้งชุดสอบสวนกรณีดังกล่าว และผมได้ข้อมูลมา โดยความเห็นของรัฐมนตรี กระทรวงไอซีที ระบุว่า เป็นสิทธิเสรีภาพที่จะทำได้ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วไม่สามารถไปจาบจ้วง ไปโจมตีสภาบันหลักของประเทศไม่ได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องจัดการเรื่องนี้ นายสมัคร ต้องเข้าใจตัวเองว่า วันนี้เป็นนายกฯ ของประเทศไทย ไม่ใช่นายกฯ สมาคมนักโต้วาที ซึ่งการโต้วาทีจะมีคนแพ้ คนชนะ แต่คนฟังทั้งประเทศแพ้หมด ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้า”นายไชยวัฒน์ กล่าว
ขณะที่ นายโสภณ กล่าวว่า วันนี้สื่อมวลชนมีการแบ่งข้างกันชัดเจน ซึ่งขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา กระแสของเงิน หรือผลประโยชน์อย่างอื่น น่าเสียดายในความเป็นวิชาชีพนั้น เพราะไม่สามารถไปควบคุม และแยกแยะว่าอะไรคือความดี ความชั่ว ซึ่งถือเป็นขั้นพื้นฐาน แต่ถ้าตกหล่นไปบ้าง ก็ควรที่จะมีความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้คือบทบาทที่กำหนด ถ้าประชาชนทั่วไปมีเวลาคิดก่อนจะเสพสื่อทั่วๆ ไป ก็จะเป็นประโยชน์ แต่สถานการณ์ทุกยุคของบ้านเมืองไม่เป็นไปอย่างนั้น เนื่องจากสื่อถูกใช้เป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะการโชว์อวัยวะเพศ ซึ่งมีบางสื่อถูกเชิดให้เบี่ยงเบนประเด็นข่าวดังกล่าวไป
“แต่ถ้าจะให้ชัดเจน พันธมิตรฯ ก็คือกลุ่มหนึ่งที่มีบทบาททางใดทางหนึ่ง ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาหาเรื่อง โจมตี หรือทำร้ายร่างกาย ซึ่งตำรวจไม่ทำอะไรเลย เหมือนกับเหตุการณ์ซ้อมคนชราที่เซ็นทรัล ถ้าผู้บริหารบ้านเมืองกระทำในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม โดยไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ประชาชนย่อมมีสิทธิ์ลุกขึ้นมาคัดค้าน หรือประท้วงเพื่อผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงได้ ฉะนั้นถ้ารัฐบาลนี้ขาดวุฒิภาวะ ขาดความสำรวม มารยาทไม่ดี และไม่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน ซ้ำยังไปช่วยเหลืออาชญากรในเสื้อนอก ถือว่าผิดเจตนารมณ์ของประชาธิปไตย ดังนั้นพันธมิตรฯ จึงมีสิทธิที่จะรณรงค์ชี้แจงว่ารัฐบาลไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำ”นายโสภณ ระบุ
