กระทรวงกลาโหมแจกเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริง บรรจุ “ดวง อยู่บำรุง” กลับเข้ารับราชการ ยืนยันทำตามระเบียบ ด้านรองโฆษกกระทรวงกลาโหมโต้ฝ่ายค้าน ยืนยันไม่เผาหลักฐานราชการ ชี้อภิปรายในสภาฯ สนุกปาก แต่เสียเกียรติทหาร ถือเป็นการหมิ่นประมาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงผลการประชุมสภากลาโหม สำนักงานโฆษกกระทรวงกลาโหมได้แจกเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีบรรจุนายดวง อยู่บำรุง บุตรชาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กลับเข้ารับราชการ โดยมีรายละเอียดว่านายดวงรับราชการทหารเป็นนายทหารสัญญาบัตร และได้รับการแต่งตั้งยศเป็นว่าที่ร้อยตรี เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2544 และได้ถูกสั่งพักราชการ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2544 เนื่องจากต้องคดีกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2544 ซึ่งการสั่งพักราชการเป็นไปตามอำนาจข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการทหารพักราชการ พ.ศ.2528 มีผลทำให้นายดวง ไม่มีสิทธิในการปฏิบัติราชการใดๆ ตั้งแต่วันออกคำสั่ง และทำให้ไม่ได้รับสิทธิกำลังพลเช่นที่เคยได้รับต่อไป
เอกสารระบุว่า การไม่มาปฏิบัติหน้าที่ตามนัยของคำสั่งพักราชการดังกล่าว จึงสามารถตีความได้ว่าไม่ได้เป็นการขาดราชการหรือหนีราชการ โดยปกติการพักราชการมักใช้เพื่อวัตถุประสงค์ให้ผู้ต้องหาที่ถูกสั่งพักได้ต่อสู้คดีจนถึงที่สุดเสียก่อน และนอกจากจะเป็นการให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการผู้ถูกกล่าวหาในช่วงการสอบสวนแล้ว ยังทำให้หน่วยงานตัดขาดจากการกระทำผิดของข้าราชการผู้นั้นด้วย หากคดีสิ้นสุดแล้วปรากฏว่าไม่มีความผิด สามารถร้องขอกลับเข้าราชการได้ โดยคืนสิทธิกำลังพลและผลประโยชน์ต่างๆ อันพึงมีพึงได้กลับคืนให้เช่นเดิม ในตำแหน่งที่เทียบเท่ากับตำแหน่งเดิม ซึ่งกรณีนายดวงยังคงดำรงยศ ว่าที่ร้อยตรี จนกว่าจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ส่วนการเดินทางมาทำงานที่สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาทำหน้าที่ธุรการประสานงานด้านต่างๆ ตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย และสามารถปฏิบัติงานได้ทันทีที่สำนักงานเลขานุการสั่งให้มาทำ
พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ รองโฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการตั้งกระทู้ถามของฝ่ายค้านเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า ฟังแล้วเข้าใจด้านหนึ่งว่าผู้แทนราษฎรหาเหตุผลเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ แต่บางเรื่องก็ขาดข้อเท็จจริง เช่น การกล่าวหาว่าหลักฐานการบรรจุนายดวงได้ถูกเผาทำลายไปแล้ว คำพูดเช่นนี้เข้าใจได้ด้านหนึ่งว่าเป็นการพูดติดลมของผู้อภิปราย แต่อีกด้านหนึ่งกระทบต่อเกียรติยศ เกียรติศักดิ์ เกียรติกระทรวงกลาโหม ถ้าคิดเป็นมาตรฐานถือว่าเป็นการหมิ่นประมาท
“คงต้องดูเจตนาเวลาอภิปรายกันสนุกๆ ก็พาดพิงกันไป แต่ในการดำเนินการทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย การอยู่ในกรอบกติกาเป็นเรื่องสำคัญ กระทรวงกลาโหมอยู่คู่บ้านเมือง มีอายุเป็นร้อยปี การบอกว่าทำหลักฐานให้หายไปเป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันมีต้นตอ และการเผาก็ไม่ใช่วิสัยของทหารที่จะทำเพื่อหนีข้อเท็จจริง ส่วนตัวผมเข้าใจว่าผู้พูดจะเอาชนะกันทางการเมือง ก็เลยมากระทบกับกระทรวง แต่ทหารจะรู้สึกอย่างไรที่ถูกกล่าวหาว่าหลักฐานต่างๆ อาจถูกเผาทำลายไปแล้ว” พล.ท.พีระพงษ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อถามย้ำถึงคำสั่งปลดนายดวง ออกจากราชการ รองโฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวเพียงว่า มี แต่ไม่ได้พูดชัดเจนว่าถูกสั่งปลดในข้อหาอะไร โดยกล่าวย้ำแต่เรื่องที่พ้นผิดในคดีอาญาแล้วจึงสามารถกลับเข้ารับราชการ และไม่ว่าจะมีคำสั่งปลดหรือไม่มีก็ไม่สำคัญ แต่สำคัญว่าศาลตัดสินแล้วไม่ผิด ก็ต้องให้กลับมา เพราะถ้าเราไม่ปฏิบัติก็ถูกข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157
“มีการทำหนังสือกลับเข้ารับราชการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาตามลำดับ ทั้งศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) และกรมพระธรรมนูญได้ตรวจสอบระเบียบทุกข้อ และให้ความเห็นเป็นเอกสารว่าสามารถกลับเข้ารับราชการได้ การตีความตามอัตตวิสัย เรื่องความไม่ชอบหรือชอบของประชาชนไม่อยู่ในตัวกฎหมายที่อนุมัติให้เราตีความ” พล.ท.พีระพงษ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านระบุว่า กระทรวงกลาโหมไม่สนใจเรื่องการบรรจุลูกของทหารที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในภาคใต้ แต่กลับบรรจุนายดวงให้เข้ารับราชการ รองโฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เป็นคนละเรื่องเดียวกัน กรณีนายดวงถือเป็นข้าราชการอยู่แล้ว แต่ถูกให้ออกไว้ก่อนเพื่อรอผลทางคดี เมื่อไม่ผิดก็กลับเข้ามารับราชการ ส่วนกรณีที่ ส.ส.ยกตัวอย่าง ผู้ที่เสียชีวิตไม่ได้มีแต่ภาคใต้ แต่มีทั้งในสงครามอิรัก เวียดนาม ลาว ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมให้ความช่วยเหลือ โดยจะให้เปอร์เซ็นต์ในการสอบเข้าสถาบันการศึกษาทหารมากกว่าคนอื่น นอกจากนี้ยังช่วยเหลือในส่วนขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ดังนั้น เรื่องพวกนี้ไม่ควรจะเอาเป็นคะแนนทางการเมือง