“ทักษิณ” เผยอยู่เมืองไทยสองอาทิตย์ มีแผนไปบรรยายต่างประเทศ ขณะเดียวกัน อ้างไปอีสานเพื่อทำบุญ เผยตั้งมูลนิธิไทยคม เพราะซาบซึ้งและตอบแทนบุญคุณเจ้านายทุกพระองค์ ด้านแฟนคลับยังตามไปเชลียร์ไม่เลิก พร้อมๆ กับการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด
วันนี้ (30 มี.ค.) เมื่อเวลา 18.30 น.ที่ห้องฟีนิกซ์ อิมแพค เมืองทองธานี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการซื้อ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ นักฟุตบอลจากสโมสรทอตแนม ฮอตสเปอร์ส ว่า ยังไม่มีความคืบหน้า เรื่องนี้ต้องไปถามนายสเวน โกรัน อีริคสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี
เมื่อถามถึงระยะเวลาในการอยู่ประเทศไทย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า 2 สัปดาห์ เมื่อถามว่า หลังจากนี้ จะเป็นการเดินทางแบบไปๆ มาๆ ใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตนต้องไปเป็นผู้บรรยายหลักที่ดูไบ จัดโดย บิสสิเนส วีค เมื่อถามถึงกรณีที่มาเตรียมต้อนรับนักลงทุนรายใหญ่จากต่างประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า จะเป็นการหารือเรื่องเหล็กและเรื่องไบโอดีเซล
เมื่อถามว่า ได้คุยไว้นานหรือยัง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่ ตนเป็นผู้ชวนมาลงทุนเอง ส่วนเม็ดเงินที่คาดว่าจะนำมาลงทุนในไทยนั้นยังตอบไม่ได้ แต่เขาเป็นเศรษฐีระดับโลก
เมื่อถามว่า มีข่าวจะเดินทางไปภาคอีสานกำหนดวันเวลาหรือยัง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตอนนี้ถ้าจะเดินทางไปไหนก็ไปทำบุญ ไม่มีอะไร เมื่อถามว่าวันที่ 11 เม.ย.จะเดินทางไปเชียงใหม่แน่นอนใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไปทำบุญ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเสร็จพิธีบรรดาแฟนคลับทักษิณ ซึ่งติดตามการเดินทางกลับตั้งแต่สนามบินจนถึงอิมแพคเมืองทองธานี้นั้น ทักษิณ ได้หยุดทักทายแจกลายเซ็น ซึ่ง นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้กล่าวกับบรรดาแฟนคลับว่า โอกาสหน้าจะจัดคอฟฟี่เบรกให้กับแฟนคลับ
ส่วนการคุ้มกันอดีตนายกฯนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบกว่า 100 นาย กระจายการคุ้มกันทักษิณ และคนในครอบครัวอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในช่วงการเดินทางนั้น ได้มีรถนำขบวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติหลายสิบคันตามประกบ ทั้งนี้ อดีตนายกฯมีกำหนดการรับประทานอาหารเย็นพร้อมครอบครัวที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ส่วนสถานที่พักผ่อนนั้น มีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะพักที่บ้านจันทร์ส่องหล้า
ส่วนบรรยากาศการมาเป็นประธานในพิธีปิดโครงการเด็กไทยคมไปแมนฯซิตี ณ ห้องฟีนิกซ์ อิมแพค เมืองทองธานี โดยเยาวชนไทย 123 คนที่เข้าวโครงการและผ่านการคัดเลือกไปแมนฯซิตี 15 คน เพื่อฝึกซ้อมกับสโมสรแมนฯซิตี ระหว่างวันที่ 22 เม.ย.-1 พ.ค.นั้น
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวปิดงานว่า วันนี้เป็นครั้งแรกที่มาทำงานเกี่ยวกับสาธารณกุศลหลังจากตกงานเกือบสองปี หลังจากที่ตนซื้อสโมสรแมนฯซิตีแล้ว ตนก็นึกถึงมูลนิธิ และอยากให้ทั้งสองอย่างนี้ทำงานร่วมกัน ตนก็คิดถึงเยาวชนไทยที่มีใจรักกีฬา เพราะกีฬาคือหัวใจสำคัญของสุขภาพกายและจิต เมื่อเราอยู่ในการแข่งขัน การเคารพกฎกติกา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัยคือสิ่งสำคัญ และเป็นหัวใจของทุกด้าน กีฬาจึงเป็นสิ่งปลูกฝังที่ดีที่สุด เพราะทำให้คนเป็นคนดี มีวินัย ทำงานเป็นทีมได้
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อว่า ตนและครอบครัวที่ตั้งมูลนิธินี้ก็เพราะด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เสด็จฯมาเปิดสถานีไทยคม และสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯทอดพระเนตรการปล่อยดาวเทียมไทยคม 1 ที่เฟรนซ์เกียนา และมูลนิธิก็ได้ทำงานการกุศลครั้งแรก คือ การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมเพื่อเยาวชนและพยายามทำทุกอย่างด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และจะทำทุกอย่างถวายเจ้านายทุกพระองค์ และมูลนิธินี้จะช่วยงานสาธารณกุศาลให้สังคมไทยในทุกด้านต่อไป
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวด้วยว่า ตอนที่ตนอยู่อังกฤษได้ไปอิมพีเรียลคอลเลจ และพบศาตราจารย์คนหนึ่งที่เก่งด้านสื่อสารโทรคมนาคม ที่ทำไมโครชิปไปฝังหลังหูเพื่อให้คนหูหนวกได้ยิน และยังช่วยคนตาบอดมองเห็นได้โดยทำเรตินาเทียม
ตนจึงเชิญมาบรรรยายในไทยเพื่อช่วยเหลือคนไทย ฉะนั้น การเดินทางไปต่างประเทศหากไปเชลยมันก็ไม่ได้อะไร แต่หากไปเรียนรู้และเห็นอะไรมากมายนั้นมันจะเป็นประโยชน์ เพราะโลกข้างหน้าแข่งขันด้วยปัญญาที่ต้องกล้าคิดกล้าทำกล้าแสดงออกตนขอให้เยาวชนที่ไม่ได้ไปแมนฯซิตีเอาประสบการณ์ตรงนี้ไปใช้ในการดำรงชีวิต เพราะเรามีประสบการณ์แล้วก็ได้เปรียบคนอื่น เพราะประสบการณ์ทุกอย่าง ไม่ว่าโง่ ฉลาด ดี เลว มันให้ประโยชน์กับตัวเราในการพัฒนาตัวเอง เพราะปัญญาต้องสู้ด้วยปัญญา