“ยามเฝ้าแผ่นดิน”เตือน วุฒิฯ “สุธา” พ่นพิษ ลามถึงปรับ ครม.แน่ สวน “หมัก” พูดเอาแต่ได้ โทษรัฐธรรมนูญ 50 เป็นเหตุให้ยุบพรรค ทั้งที่ได้เป็นนายกฯ เพราะ รธน.ฉบับเดียวกัน ชี้โผโยกย้ายกองทัพ สะท้อนภาพเอื้อประโยชน์พวกพ้อง-เครือญาติ พร้อมจี้สรรพากรตรวจสอบภาษี “ตู่-จตุพร” รวย 8 ล้านจากที่เคยเก็บผักบุ้งต้มมาม่า
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 21 มีนาคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นักวิชาการอิสระ และนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ร่วมดำเนินรายการ โดยในช่วงแรก ได้กล่าวถึงความคืบหน้าปัญหาวุฒิการศึกษาปริญญาตรีองนายสุธา ชันแสง รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ว่า กรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามเรื่องนี้ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เหมือนไม่อยากตอบนั้น แสดงว่านายสมัคร เริ่มไหวตัวทัน อาจจะรู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เพราะถ้านายสมัครมั่นใจว่าไม่ผิด ท่าทีจะออกมาอีกแบบหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตการทำหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการและพลเรือน(ก.พ.) ว่า เหตุใด นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการ ก.พ.ต้องออกมาปกป้องนายสุธา ทั้งๆ ที่ภารกิจหน้าที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน โดยเฉพาะการอ้างว่า ก.พ.จะรับรองวุฒิการศึกษาโดยดูจากผลการรับรองของกระทรวงศึกษาธิการในประเทศนั้นๆ หลายคนในวงการศึกษาไม่เห็นด้วยกับการหลักเกณฑ์ดังกล่าว ราวกับว่า เลขาธิการ ก.พ.กำลังใช้บรรทัดฐานที่แปลกออกไป เพราะมาตรฐานในแต่ละประเทศไม่เท่ากัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบทำเนียบผู้บริหารกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พบชื่อ นางกานดา วัชราภัย ภรรยาของนายปรีชา มีตำแหน่งเป็นรองปลัดกระทรวง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ นายปรีชา กำลังเอาสถาบัน ก.พ.เป็นเดิมพันกับมาตรฐานการศึกษาของประเทศไทย
ขณะเดียวกัน สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเคยทำหนังสือเพื่อสอบถามถึงคุณสมบัติการจบการศึกษาของนายสุธา ไปยัง ก.พ.เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2551 และได้รับแจ้งว่า ทาง ก.พ.ได้รับรองสถาบันการศึกษา Republican College ประเทศฟิลิปปินส์ ว่ามีตัวตนจริงเท่านั้น แต่ไม่ได้รับรองวุฒิการศึกษาของนายสุธาว่าได้จบการศึกษาตามหลักสูตรจริงหรือไม่ เพราะทาง ก.พ.ไม่สามารถจะเข้าไปตรวจสอบว่านายสุธาได้ลงทะเบียนเรียนตามหลักสูตรและได้เรียนจบตามที่นายสุธากล่าวอ้างหรือไม่
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมาตั้งแต่วันก่อนว่า นายสุธาเพิ่งทำหนังสือเดินทางครั้งแรกในปี 2537 แต่นายสุธาอ้างว่าจบการศึกษาที่ฟิลิปปินส์เมื่อปี 2527 ข่าวดังกล่าวนี้ถูกนำเสนอมาแล้วถึง 2 วัน แต่นายสุธายังไม่ออกมาชี้แจง ซึ่งนายสุธาไม่รีบแสดงความคิดเห็นออกมาเร็วๆ นี้ อาจทำให้เกิดกระบวนการที่จะนำไปสู่การถอดถอนรัฐมนตรีขึ้น เพราะสถานการณ์มันคลุมเครือ ไม่มีความชัดเจน นายสุธา ก็ไม่ยอมแสดงหลักฐานให้ปรากฏชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ไม่เชื่อว่านายสุธาจะแสดงสปิริตด้วยการยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ที่สำคัญยังเป็นการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกัน นายสุธายังสุ่มเสี่ยงโดนข้อหายื่นเอกสารเป็นเท็จอีกด้วย
ผู้ดำเนินรายการ ระบุว่า เรื่องของนายสุธา จะไม่จบเพียงเท่านี้ เรื่องจะลามไปถึงสถานภาพ ส.ส.ของนายสุธา อีกทั้งหากความผิดปรากฏแน่ชัด เรื่องก็จะลามไปถึงนายกรัฐมนตรีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้า ดังนั้นนายสุธา คงไม่เลือกที่จะลาออก แต่อาจจะต้องยอมรับในการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อกลบกระแสแรงต้านที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรัฐมนตรี 3 คนที่ถูกกล่าวหาในคดีหวยบนดินที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วย
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวด้วยว่า บรรยากาศแรงกระเพื่อมในพรรคพลังประชาชนกำลังเริ่มขยายตัวออกไป ทั้งปฏิกิริยาถึงคำถามถึงรัฐมนตรีบางคน หรือกรณีวุฒิการศึกษาของนายสุธา ในฐานะตัวแทนของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ซึ่งที่ผ่านมาการจะได้ตำแหน่งต่างๆ มักจะถูกต้านจากภาคอีสานจำนวนมาก จึงไม่แปลกว่าทำไมเอกสารถึงหลุดออกมาจากพรรคพลังประชาชนอย่างไม่หยุด วันนี้พรรคพลังประชาชนกำลังขย้ำกันเอง ดูรักกันจริงแต่แท้ที่จริงมีปัญหาภายในมากมาย และในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องวุฒิการศึกษารัฐมนตรีอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องอื่นๆ อีก ขอให้ติดตามต่อไป
** “เหลิม” สวมบททนายหวังลุ้นคั่วผู้นำคนใหม่
ผู้ดำเนินรายการ ได้แสดงความเสียใจกับพ่อค้าส่งลูกชิ้นที่ประท้วงการเมือง ด้วยการจุดไฟเผาตัวเองหน้ารัฐสภา แต่ไม่ขอสนับสนุนให้เกิดความรู้สึกที่ต้องใช้วิธีทำร้ายตัวเองในการเอาชนะปัญหา เพราะการชนะทางการเมืองไม่ได้จบด้วยการสละชีวิต การรักษาบ้านเมืองต้องมีความอดทน ต้องใช้ระยะเวลาและพลังหมู่มากถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
การใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหา เป็นหนทางที่มีโอกาสมีชัยชนะและยืนยาวได้มากกว่า เพราะในทางการเมืองทุกวันนี้ มายาคติ หรือสิ่งที่มันคลุมไม่สามารถแยกได้ออก อะไรคืออธรรมอะไรคือธรรมมะ สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่แท้จริง ดังนั้นต้องอดทนและใช้ชีวิตให้ยืนยาวเพื่อต่อสู้กับมัน
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวอีกว่า ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของนายสมัคร ที่ย้อนถามว่า “ไม่สงสารบ้านเมืองหรอกหรือ” กรณีที่จะมีการยุบพรรคการเมือง และกล่าวโทษว่าปัญหาต่างๆ มาจากรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นหลังการปฏิวัติ ซึ่งเป็นท่าทีที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองมีเหตุมาจากการทุจริตของนักการเมือง ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง หากไม่ทำผิดก็ไม่ต้องกลัว อย่าพูดเอาแต่ได้ รัฐบาลชุดนี้ก็เป็นผลพวงของรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติในช่วงรัฐประหาร ดังนั้นถ้าไม่ยอมรับจะเสนอตัวเข้ามาลงเลือกตั้งทำไม
“พูดอย่างนี้เป็นการพูดในลักษณะเอาแต่ได้ เพราะว่าวันนี้คุณสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีได้ ก็เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐประหาร แล้วมีประชาชน มีบรรยากาศของประชาธิปไตยมากแค่ไหน จนกระทั่งมีการลงประชามติเห็นชอบกันทั้งหมด ไม่มีเหตุการณ์นั้น ไม่มีรัฐธรรมนูญ จะมีคุณสมัครได้อย่างไร”ผู้ดำเนินรายการกล่าว
ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย สวมวิญญาณดอกเตอร์ด้านกฎหมาย ร่ายยาวขั้นตอนยุบพรรค พร้อมชี้หากคดีเข้าสู่กระบวนการศาลรัฐธรรมนูญ ขอทำหน้าที่ทนายนั้น ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิม ชอบพูดให้ประชาชนมีอารมณ์ขันและสับสนอยู่เป็นประจำ การประกาศตัวเป็นทนายก็คงไม่แปลก ร.ต.อ.เฉลิม ต้องแสดงท่าทีปกป้องพรรคเพื่อให้ทุกคนเห็นและมั่นใจว่า จะเป็นผู้นำคนใหม่ของพรรคพลังประชาชนเพื่อคั่วตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในอนาคต
**โยกย้ายกองทัพมีกลิ่นเอื้อพวกพ้อง
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึง โผโยกย้ายนายทหารเพิ่มเติมว่า จากภาพที่ออกมานอกจากมีการประนีประนอม โดยยังให้ทหารสายคุมกำลังในกองทัพยังคงเดิม และให้ทหารสาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรขึ้นมาด้วยแต่ไม่ให้คุมกำลังแล้ว ยังมีภาพของการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องอยู่ ที่ชัดเจนคือ นายทหารหญิงได้เลื่อนชั้นยศขึ้นเป็นนายพลถึง 12 คนในทุกเหล่าทัพ
ที่น่าสังเกต เช่น ในกองบัญชาการกองทัพไทย นาวาเอกหญิงสุรัชฎา ชลออยู่ ได้ขึ้นเป็นผู้ชำนาญการ กองบัญชาการทหารสูงสุด ยศ พล.อ.ต.หญิง ทำให้น่าสงสัยว่าได้เลื่อนตำแหน่งเพราะเป็นพี่สาวภรรยาของ พล.อ.วินัย ภัททิยะกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม หรือไม่ พล.อ.ต.หญิงสุรัชฎาอาจมีผลงานจริงๆ แต่เมื่อดูจากการเป็นเครือญาติและสายสัมพันธ์แล้ว ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าทำไมนายทหารหญิงอายุไม่ถึง 50 ปี ก็ได้เป็นนายพลแล้ว
นอกจากนี้ในช่วงรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พล.อ.วินัย ก็เคยเลื่อนตำแหน่งน้องชายภรรยาคือ พล.ท.ศราวุธ ชลออยู่ จากที่เป็นรองเจ้ากรมพลังงานทหารเพียงเดือนเดียวขึ้นเป็นรักษาการเจ้ากรมฯ หลายคนจึงมองว่านี่คือกระบวนการช่วยเหลือญาติพี่น้องหรือไม่
นอกจากนี้ ยังมี กรณี พ.อ.หญิง สุวาณี ศรีวิไลทนต์ ได้ขึ้นเป็นผู้ชำนาญการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ครองยศ พล.ต.หญิง ในขณะอายุได้ 43 ปี เป็นเพราะว่านายทหารหญิงคนนี้เคยเป็นหน้าห้องของ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนหรือไม่ หรือว่าเป็นเพราะรู้จักกับนักการเมือง เช่น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่ง พล.อ.วินัยก็รู้จักกับเครือข่ายของ ร.ต.อ.เฉลิม เช่น นายไพรวงศ์ เตชะณรงค์ ด้วยเช่นกัน
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า การโยกย้ายครั้งนี้ แม้ว่าจะมีการพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการ แต่ถ้ามีการประนีประนอมเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับคนของตัวเอง ก็ทำให้น่าสงสารข้าราชการที่ทุ่มเททำงาน ซึ่งควรจะมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ถ้ามีการใช้เส้นสายข้าราชการระดับสูงหรือนักการเมือง ข้าราชการเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาส ดังนั้น จึงไม่อยากให้การโยกย้ายนายทหารเป็นไปในลักษณะการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ยื่นหมูยื่นแมว ให้นึกถึงคนที่ทำงานด้วยความทุ่มเทด้วย
**แนะ “หมัก” เปลี่ยนท่าที หนุนพันธมิตรฯ ตรวจสอบ
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พูดถึงการจัดงานสัมมนาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 28 มี.ค.ทำนองว่า บ้านเมืองอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง เพราะมีคนอื่นสร้างปัญหาให้มากแล้ว ถ้าคนไทยสร้างปัญหาอีก ก็ทำให้ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะฉะนั้นอย่าสร้างปัญหาขึ้นมาอีกเลย
ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าว แสดงว่าข่าวที่ พล.อ.บุญสร้างได้รับนั้นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำไม่ใช่การชุมนุม แต่เป็นงานสัมนาเพื่อให้ประชาชนมีความรู้ทางการเมือง โดยมีนักวิชาการจำนวนมาก นักศึกษา ตัวแทนองค์กรภาคประชาชนจากหลายจังหวัด และนักกิจกรรมหลายยุคหลายสมัครเข้าร่วม โดยคนเหล่านี้ไม่ได้จ้างมา แต่มาร่วมเพราะศรัทธา เพราะฉะนั้นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตยควรให้การส่งเสริม นายสมัครเองแทนที่จะปรามสื่อว่าไม่ให้เสนอข่าว ก็ควรจะเปลี่ยนท่าทีมาให้การสนับสนุน ยื่นไมตรีให้ โดยมองว่า เป็นสิ่งที่ดีแล้วที่จะมีคนมาช่วยตรวจสอบการทำงาน รัฐบาลจะได้มีความเข้มแข็ง
ผู้ดำเนินรายการ ย้ำว่า การสัมมนาครั้งนี้เหมือนกับการสัมมนาทุกครั้งที่นักวิชาการเยจัด เพียงแต่ครั้งนี้อาจมีหลายภาคส่วนมาร่วม ถ้ารัฐบาลใจกว้างก็น่าจะส่งเสริม ไม่ใช่มาด่า หรือส่งคนไปแจ้งจับด้วยข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร พยายามทำให้เห็นว่าพันธมิตรเคลื่อนไหวเป็นกบฏ ทั้งที่พันธมิตรฯ เคลื่อนไหวโดยบริสุทธิ์ใจและทำตามสิทธิที่มีในรัฐธรรมนูญ
** จี้ สรรพากรสอบภาษี “ตู่-นปก.”
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ กล่าวถึงการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.ระบบสัดส่วน กลุ่มที่ 6 พรรคพลังประชาชน และอดีตแกนนำ นปก.ว่า มูลค่าทรัพย์สินที่มีถึง 8 ล้านกว่าบาทนั้น ทำให้หลายคนสงสัยว่านายจตุพรไปทำอาชีพอะไรมา อยู่ๆ ก็มีเงินสด 2 ล้านกว่าบาท บ้านราคา 2 ล้านกว่าบาท รถยนต์อีก 2 คัน ทั้งที่ตอนเป็นนักศึกษารามคำแหงนั้นลำบากถึงขั้นต้มมาม่ากินทุกวัน
ถ้านายจตุพรทำพีทีวีแล้วมีกำไร ก็น่าจะตรวจสอบว่าจ่ายภาษีหรือไม่ หรือว่านายจตุพร ในฐานะคนรับเงินมาจากใครก็แล้วแต่ เมื่อมีเงินไหลเข้ามา ก็น่าจะตรวจสอบประวัติการเสียภาษีด้วย จากคนที่เคยหาผักบุ้งนามคำแหงมาต้มกิน แล้วมีทรัพย์สิน 8 ล้านบาท มีการเสียภาษีอย่างไร กรมสรรพากรไม่ควรละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ต้องเข้าไปตรวจสอบ
นอกจากนี้ ยังมีบัญชีทรัพย์สินของคนอื่นๆ ที่น่าสงสัย เช่นนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข เคยบอกว่าตัวเองรวยกว่าบริษัทยา แต่เมื่อแสดงทรัพย์สินแล้วมีมากกว่านายจตุพรเพียงนิดเดียว โดยที่เงินไปอยู่ในบัญชีของภรรยาหมด
ส่วนนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รมว.พาณิชย์นั้น เป็นมืออาชีพที่รับจ้างบริหาร ไม่เคยเป็นเจ้าของกิจการเองแต่มีทรัพย์สิน 100 กว่าล้าน หรือว่าได้รับมรดก กรมสรรพากรน่าจะตรวจสอบว่าเงินที่ได้มามีการเสียภาษีหรือไม่ ทั้งนี้ตั้งแต่ มี ป.ป.ช.ขึ้นมาและมีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินนักการเมือง จะเห็นว่านักการเมืองส่วนใหญ่รวยทุกคน ยกเว้นบางคน เช่น นายชวน หลีกภัยที่ยังจนเหมือนเดิม
ส่วน ส.ส.ที่รวยที่สุดจากการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินครั้งล่าสุดนี้คือบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย มีถึง 3 พันล้าน ส่วนลูกสาวคือนางสาวกัญจนา ศิลปอาชา ก็มีไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งคนที่มีทรัพย์สินมากระดับนายบรรหาร ไม่น่าจะกลัวอะไรอีกแล้ว น่าจะทำอะไรเพื่อเกียรติภูมิของตัวเองบ้าง
กำหนดการ"ยามเฝ้าแผ่นดิน" ภาคพิเศษ 28 มี.ค.51