“ยามเฝ้าแผ่นดิน” ชี้ผลเลือกประธาน ส.ว.สะท้อนกระแสกันนักการเมืองครอบวุฒิสภา จี้ “สดศรี”ปรับความคิดใหม่ ปล่อยคนผิดเข้าสภา เพราะกลัวเปลืองงบเลือกตั้ง แฉพิรุธใบปริญญา “สุธา ชันแสง” จบจากฟิลิปปินส์ 22 ปีก่อน เพิ่งเอามาโชว์ตอนเป็น รมต. พร้อมย้อนอดีต “สนธิ” ช่วย “เฉลิม” พร้อมต่อสู้กับ รสช.โดยไม่หวั่นแพ้-ชนะ ขณะ “แม้ว” ยอมสยบทหารแลกสัมปทาน
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 1
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สโรชา พรอุดมศักดิ์ ช่วงที่ 2
รายการ “ยามฝ้าแผ่นดิน” ออกอากาศทางเอเอสทีวี คืนวันที่ 14 มีนาคม นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ ในช่วงแรกได้กล่าวถึงการเลือกประธานวุฒิสภา โดยนายประสพสุข บุญเดช ส.ว.สรรหา อดีตประธานศาลอุทธรณ์ ได้รับเลือกว่า แสดงให้เห็นว่า พรรคการเมืองที่จะเข้ามาแทรกแซงการเลือกประธานวุฒิสภาในครั้งนี้ล้มเหลวทั้งกระบวน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม วันนี้กระแส ส.ว.หลายคนไม่ต้องการเห็นภาพนักการเมืองเข้ามามีส่วนเกี่ยวพันกับวุฒิสภา คะแนนจึงต้องระมัดระวังในเกียรติภูมิของตัวเอง
นอกจากนี้ อาจมีการแย่งคะแนนกันเองของ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้ง ระหว่างกลุ่มการเมืองที่มาจากจังหวัดฉะเชิงเทราและบุรีรัมย์ ชี้ชัดว่า กระบวนการใดก็ตามที่ฝ่ายการเมืองคาดหวังครอบงำองค์กรอิสระ โดยเฉพาะองค์กรที่เป็นผลพวงของ ส.ว.หรือองค์กรต่างๆ ในอนาคต อย่างน้อยวันนี้เราก็ยังฝากความหวังกับ ส.ว.ในการตรวจสอบรัฐบาลได้
** จี้ “สดศรี” จูนความคิดใหม่
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า ไม่เห็นด้วยกับนางสดศรี สัตยธรรม กรรมการ กกต.ที่พูดถึงคดีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย โดยอ้างว่า ไม่อยากให้มีการเลือกตั้งซ้ำไปซ้ำมาและกินเงินภาษีประชาชนเป็นจำนวนมาก ซึ่งประโยคดังกล่าวถือว่าไม่ถูก เพราะไม่เป็นการคัดสรรคนดีให้มาปกครองบ้านเมืองตามกระแสพระบรมราโชวาท หากมีการทุจริตเลือกตั้ง กกต.ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งกี่ครั้งก็ตามจนกว่าจะมีการเลือกตั้งที่สุจริต เพราะ ความเสียหายที่ตามมาหลังจากที่ได้นักการเมืองที่ทุจริตต่อการเลือกตั้ง จะนำพาซึ่งการสูญเสียมากกว่างบประมาณที่ใช้ในการเลือกตั้งมากมายหลายเท่า นางสดศรีน่าจะทบทวนทัศนคติตรงนี้ให้ดี เพราะถ้ากลัวเสียงบประมาณในการเลือกตั้งแล้วจะมี กกต.ไว้ทำไม
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า กกต.เหมือนเป็นหน้าด่านของทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น ประเทศไทยจะมีกรรมหรือไม่มีกรรม ก็อยู่ที่การตัดสินใจของ กกต.
“ผมอยากจะเรียนว่าอย่างนี้ ผมไม่เชื่อในกระแสข่าว ที่มีคนโทรศัพท์ และก็มาฝากข้อความถึงผม ในวันที่มีการลงมติให้ใบแดงคุณยงยุทธว่ามีการไปพบกันกับนักการเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คุณสมชัย จึงประเสริฐ หรือคุณสดศรี สัตยธรรม ที่โรงแรมเรดิสัน ในประเทศไทย ณ วันที่มีการลงมติให้ใบแดงต่อคุณยงยุทธ ติยะไพรัช ผมไม่เชื่อเลย เพราะเชื่อว่า กระแสแบบนี้ใครก็พูดได้ แต่ผมดูที่การกระทำ เพราะใครก็ใส่ความใครก็ได้ แต่ว่าเกียรติภูมิ และการรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมืองนั้นสำคัญมาก”
** แฉพิรุธ “สุธา” ได้ปริญญาตรี 22 ปี เพิ่งเปิดเผย
ต่อมาผู้ดำเนินรายการได้ตั้งข้อสังเกตถึงวุฒิการศึกษาของ นายสุธา ชันแสง รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงขอมนุษย์ ซึ่ง กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ทำนำหนังสือชี้แจงแก้ไขเกี่ยวกับข้อมูลประวัติของนายสุธา ต่อสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า นายสุธาจบปริญญาตรี Bachelor of Science in Commerce (Management) (BSC) จาก Repubbican College ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อปี 2528 (ค.ศ.1985)
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบประวัติของนายสุธา ที่ระบุไว้ในเอกสารประวัติย่อ ในการเป็น สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2528 ระบุว่า จบมัธยมศึกษาตอนปลาย (มศ.5) และเมื่อเป็น ส.ก.อีกครั้ง ในวันที่ 7 มกราคม 2533 ก็ระบุ วุฒิการศึกษา ม.ศ.5 ไว้เช่นเดียวกัน
ต่อมา นายสุธาได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.กทม.ในวันที่ 6 มกราคม 2544 ทำเนียบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่จัดทำโดยรัฐสภา หน้า 299 ได้ระบุว่า นายสุธา จบการศึกษา มัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนจันทร์ประดิษฐารามวิทยาคม และเมื่อนายสุธา ได้รับการเลือกตั้งอีกครั้งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ทำเนียบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2548 ที่จัดทำโดยรัฐสภา ในประวัติการศึกษา กลับระบุว่า ประกาศนียบัตรชั้นสูง และ วุฒิบัตรขั้นสูงสุด (FCILT) ด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง จากสถาบันลอจิสติกส์และการขนส่ง สหราชอาณาจักร สาขาประเทศไทย
ต่อมาในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา เอกสารในการแนะนำตัวผู้สมัครของพรรคพลังประชาชนที่แจกจ่ายแก่ประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 11 ระบุประวัติการศึกษาของนายสุธาจบมัธยมต้นที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี มัธยมปลาย โรงเรียนจันทร์ประดิษฐาราม และประกาศนียบัตรชั้นสูง และ วุฒิบัตรขั้นสูงสุด (FCILT) ด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง จากสถาบันโลจิสติกส์และการขนส่ง สหราชอาณาจักร สาขาประเทศไทย เช่นเดียวกับเอกสารแนะนำตัวผู้สมัคร ส.ส.เขต 11 กทม.ของ กกต.ที่แจกให้กับประชาชนที่อยู่ในเขตเลือกตั้งก็ระบุวุฒิการศึกษาของนายสุธาว่าวุฒิบัตรชั้นสูง
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า หากนายสุธาจบปริญญาตรีจาก Repubbican College ตั้งแต่ปี 2528 ทำไมจึงไม่ระบุลงในประวัติ หรือเอกสารการเลือกตั้งของนายสุธาเลย จนกระทั่งนายสุธาได้เป็นรัฐมนตรี จึงมีการเปิดเผยเรื่องนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 174 ที่กำหนดคุณสมบัติรัฐมนตรีต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวต่อว่า ได้พยายามค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลของมหาวิทยาลัยดังกล่าว แต่ไม่มีเว็บไซต์เหมือนมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่มีกัน มีแต่อีเมลที่ใช้ในการติดต่อเท่านั้น
**รองเลขาฯ ศาลทำ “เหลิม” หน้าแหก
ในช่วงที่ 2 ผู้ดำเนินรายการกล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ออกมาเตือนนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ถ้าไปร่วมรายการ“ยามเฝ้าแผ่นดิน ภาคพิเศษ” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 28 มี.ค. อาจจะเป็นการละเมิดเงื่อนไขการประกันตัวว่า นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้แล้วว่า การประชุมของพันธมิตรฯ หากเป็นการชุมนุมโดยสงบ เปิดเผยและปราศจากอาวุธ ก็เป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญที่สามารถทำได้ เช่นเดียวกับการแสดงความคิดเห็นต่างๆ กฎหมายก็ให้การรับรองไว้ ส่วนจะผิดเงื่อนไขการประกันตัวหรือไม่นั้น ต้องไปดูก่อนว่าศาลกำหนดเงื่อนไขการให้ประกันตัวอย่างไรไว้บ้าง ถ้าในกรณีที่ศาลไม่ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ การประชุม การแสดงความคิดต่างๆ ในฐานะสื่อมวลชนหรือประชาชนคนไทยก็สามารถทำได้อยู่แล้ว
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า ความเห็นของนายสราวุธดังกล่าว ทำให้เกิดความชัดเจนว่า การเคลื่อนไหวของนายสนธิ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 28 และการแถลงข่าวก็ดี เป็นการเสนอความคิดความเห็นโดยสุจริต ตามสิทธิเสรีภาพที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใหญ่มาก การที่จะไประงับไม่ให้ใครแสดงความคิดความเห็นได้จะต้องมีกฎหมายออกรองรับให้ชัดเจน
“อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะบอกว่า เวลานี้ ท่าน ร.ต.อ.เฉลิม เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ถ้ามีอะไรก็ตามที่เกิดความวุ่นวายขึ้น หรือเกิด การคุกคามการเคลื่อนไหวของประชาชนที่ทำตามรัฐธรรมนูญ ความไม่สงบเหล่านั้นต้องถือเป็นความรับผิดชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
**ย้อนอดีต “สนธิ” สู้ - ขณะ “แม้ว” ซบ รสช.แลกสัมปทานธุรกิจ
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีที่หลายคนบอกว่า ทำไมนายสนธิไม่กลัว เพราะอาจจะต้องเข้าคุกคนเดียว สู้ไปก็ไม่มีทางชนะนั้น อยากจะหยิบยกข้อมูลในอดีตมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งในที่นี้ไม่ได้ต้องการจะทวงบุญคุณกับใคร กรณีเงิน 5 แสนบาทที่นายสนธิส่งไปช่วย ร.ต.อ.เฉลิม ที่หนีออกนอกประเทศหลังการยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.) เมื่อปี 2534 ซึ่งทีแรกนั้น เช็คที่ส่งไปผ่านน้องชาย ร.ต.อ.เฉลิม สะกดชื่อไม่ตรงกับชื่อในบัญชีที่เขียนตามพาสปอร์ต จึงเบิกเงินไม่ได้ นายสนธิจึงให้นายคำนูณ สิทธิสมาน เอาเงินสดไปให้จนครบ
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือในช่วงนั้น เป็นยุค รสช.เรืองอำนาจ แต่นายสนธิได้ตัดสินใจเลือกที่จะออกมาสู้กับ รสช. และการที่ต้องมาช่วย ร.ต.อ.เฉลิม ในภาวะที่ตัวเองก็ต้องหนีให้พ้นจากการตามล่าของ รสช.ด้วย แสดงว่าต้องมีจิตใจที่สู้มาก
ประการต่อมาคือในตอนนั้น นายสนธิมีทางเลือกที่จะไม่พิมพ์หนังสือพิมพ์ต่อต้าน รสช. และมีทางเลือกที่จะเป็นอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เข้าหา รสช.จนได้รับสัมปทาน ซึ่ง รสช.ในยุคนั้นมีอำนาจล้นเหลือที่จะบันดาลอะไรก็ได้ พ.ต.ท.ทักษิณเกาะติดและสนิทกับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ (ประธาน รสช.) เป็นอย่างมาก ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิมต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปต่างประเทศ
“คุณสนธิแทนที่จะอยู่ข้าง รสช.ได้ แต่เลือกที่จะอยู่ตรงข้าม และไปช่วยคุณเฉลิม แล้วตอนนี้เห็นไหมว่า จะมีทางชนะ ไม่เห็น ชั่วโมงนั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่า สุดท้ายแล้ว รสช.ก็ต้องสิ้นสลายไป เมื่อ รสช.อำนาจไป คุณเฉลิมก็ต้องกลับมา และก็ได้เป็นรัฐมนตรีในวันนี้ ทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่แน่ไม่นอน”
“ถามว่าวันนี้คุณสนธิ สู้กับอะไร แค่ใจระหว่างคุณทักษิณ ที่เข้าสู่อำนาจในตอนนั้น หรือใกล้ชิดกับอำนาจ กับคุณสนธิ ที่มีทางเลือกแต่ไม่เลือกทางนั้น แค่นี้ก็พิสูจน์ได้แล้วใช่หรือไม่ว่า ทำไมเขาถึงสู้กับคุณทักษิณได้
“เช่นเดียวกันครับ ชั่วโมงนี้เป็นรัฐบาลคุณสมัคร แล้วคุณเฉลิม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คำว่ากลัวว่าจะแพ้ จะมีหรอกหรือ ถ้าคุณเฉลิมรู้จักสักนิดว่าคุณสนธิ เป็นอย่างไร ย้อนกลับไปดูที่ประวัติศาสตร์จะรู้ว่า ผู้ชายคนนี้สู้ไปข้างหน้าโดยไม่สนใจว่าจะชนะหรือไม่ รู้แต่ว่าต้องทำ” ผู้ดำเนินรายการกล่าว