xs
xsm
sm
md
lg

โหวต ปธ.-รองวุฒิฯ ส.ว.สรรหาคว้าเก้าอี้สภาสูง 2 ที่นั่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ประสพสุข” นั่งเก้าอี้ประมุขสภาสูง หลังชนะคู่แข่งขาดลอย ด้วยคะแนน 78 เสียง เจ้าตัวลั่นยึดหลักโปร่งใส เป็นกลาง ไม่ต้องมีเงื่อนไขเวลา ขณะที่ “นิคม-ทัศนา” นั่งรองประธาน

วันนี้ (14 มี.ค.) ได้มีการประชุมสมาชิกวุฒิสภานัดแรก โดยมี พล.อ.กมล ประจวบเหมาะ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมเนื่องจากมีความอาวุโสสูงสุด โดยมีสมาชิกมาร่วมประชุมครบทั้ง 144 คน ซึ่งวาระสำคัญ คือ การเลือกตำแหน่งประธานวุฒิสภา และรองประธานสภา

หลังจากที่สมาชิกทั้งหมดได้กล่าวปฏิญาณตนก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ สมาชิกส่วนหนึ่งได้ หารือถึงกรณีกระแสข่าวการล๊อบบี้ตำแหน่งประธานวุฒิสภา โดยมีการเสนอซื้อตำแหน่งด้วยวิธีการต่างๆ เช่น นายวิเชียร คันฉ่อง ส.ว.ตรัง ได้หารือต่อที่ประชุมขอให้ผู้ที่ออกมาให้ข่าวมีการใช้เงินซื้อตำแหน่งปรานวุฒิสภาชี้ แจงต่อที่ประชุมว่าคนที่ติดต่อท่านมาเป็นใคร เพราะมีการระบุถึงตัวเลข 6 หลัก รถเบ็นซ์ และเงินตอบแทนเป็นรายเดือน เพื่อไม่ให้เกิดภาพความเป็นสภาทาส เพราะ ส.ว.ไม่ใช่จะเลวไปทั้งหมด คนดีก็มี ไม่เช่นนั้นถ้าปล่อยให้เลือกคนที่ใช้อิทธิพลและอำนาจเงินเข้าสู่ตำแหน่งจะทำให้สภาแห่งนี้เสื่อมเสียอีก

ขณะที่ นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ชี้แจงว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนมาก่อนจำเป็นต้องเปิดเผยข้อเท็จเมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมา มีคนโทร.เข้ามือมือของตน ซึ่งตนยังเก็บเบอร์นี้ไว้ อ้างว่าเป็นนักการเมืองมาหลายสมัย มาทาบทามติดต่อว่าจะขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แต่ทำไปทำมากลับขอหารือกับตน 2 ต่อ 2 ซึ่งก็คาดเดาว่ามีเจตนาอย่างไร เขาบอกว่าได้รวบรวมสมาชิกประมารณ 20 คน อยากให้ตนอยู่ในกลุ่มก๊วนด้วย โดยเสนอว่าจะดูแลตลอดวาระ ไม่ทราบว่าหมายถึงวาระของตน หรือของคนที่อยากให้เป็นประธาน โดยจะให้เงินก้อนหนึ่งเป็นประเดิม แต่จะไม่ขอเอ่ยนามในที่นี้เพราะถ้าพูดไปทุกคนจะรู้จัก และตนยังได้สอบถามเพื่อนสมาชิกพบว่าบุคคลนี้ได้ติดต่อไปเช่นกัน ส่วนข่าวรถเบนซ์กับเงินล้าน ตนไม่ทราบข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

นายคำนูน สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ยืนยันว่า ไม่เคยมีใครมาติดต่อว่าจะให้รถเบนซ์ ไปฮ่องกง หรือเงิน 1 ล้าน หรือมีการจะให้เงินดูแลรายเดือน ประเด็นนี้น่าจะจบลง แต่การทำความรู้จัก การแนะนำตัว การสนับสนุนใครเป็นประธานเป็นเรื่องที่กระทำได้ การแบ่งกลุ่มภายใต้กรอบการกระทำจะต้องไม่ผิดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่เชื่อว่าทุกคนมีวุฒิภาวะเพียงพอในการใช้วิจารณญาณเพราะก่อนเลือกประธานฯ ก็ได้มีการปฏิญาณตน ไม่ว่าข่าวจะเป็นอย่างไร เชื่อว่าทุกคนจะไม่ทรยศ ในคำปฏิญาณ ต่อรัฐธรรมและกฎหมาย

จากนั้นได้เข้าวาระการคัดเลือกประธานวุฒิสภา ปรากฏว่ามีผู้เข้าชิงตำแหน่งจำนวน 4 คน โดยนายมณเทียร บุญตัน ส.ว.สรรหา ได้เสนอชื่อ นายประสพสุข บุญเดช ส.ว.สรรหา นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี เสนอ นายทวีศักดิ์ คิดบรรจง ส.ว.บุรีรัมย์ พล.ต.อ.โกวิทย์ ภักดีภูมิ ส.ว.อ่างทอง เสนอ พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ ส.ว.สุราษฎร์ธานี และ นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ เสนอ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา ซึ่งที่ประชุมมมีติให้ผู้ชิงตำแหน่งแสดงวิสัยทัศน์คนละ 5 นาที

เริ่มจาก พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ ส.ว.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า หากได้รับความไว้วางใจจะทำให้สภาเป็นที่เชื่อมั่น โดยเร็ว เพราะถูกวิพากษ์วิจารณ์ตลอดเวลาว่าสภาแห่งนี้เป็นสภาทาส ตนจะให้ความเป็นกลางระหว่างสมาชิก ส.ว.ด้วยกันที่มาจากหลายที่ และจะเป็นกลางต่อการปฎิบัติหน้าที่ในตำแหน่งวุฒิสภา ในการกลั่นกรองกฎหมายจากสภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบและเห็นชอบต่อการดำเนินการในองค์กรอิสระต่างๆทั้งหลาย นอกจากนี้จะใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมด ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และความตั้งใจในการปฎิบัติหน้าที่ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระยะเวลาอันสั้น โดยจะใช้เวลาดำรงตำแหน่งเพียง 2 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกที่มีวุฒิภาวะ ทำหน้าที่ประธาน

ด้าน พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา กล่าวว่า จะทำงานทุกอย่างเพื่อให้วุฒิสภาเป็นที่ยอมรับ เป็นที่กล่าวขวัญ ศรัทธาในทางที่ดีงามเท่านั้น รวมถึงดำเนินงานต่างๆ อย่างโปร่งใส สุจริต ยุติธรรม และจะเน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ของวุฒิสภาไทยกับนานาอารยะประเทศ เพื่อเป็นการยกระดับความเป็นสากลและเสริมสร้างสัมพันธไมตรีอีกด้วย นอกจากนี้จะให้ความสำคัญต่อกระบวนการการมีส่วนร่วมต่อประชาชน และการทำงานของคณะกรรมาธิการฯทั้ง 22 คณะ ให้ความสำคัญต่อกระบวนการตรวจสอบในภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม โดยยืนยันว่า จะดำรงอยู่บนความเป็นกลางซื่อสัตย์ สุจริต เที่ยงธรรม และจะขออยู่ในตำแหน่ง 2 ปีครึ่ง เพื่อให้มีการเลือกสรรกันใหม่

ส่วน นายประสพสุข บุญเดช ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ตำแหน่งประธานวุฒิสภา เป็นตำแหน่งที่ต้องให้คำอธิบายต่อสังคม ได้อย่างชัดเจนว่ามีความเป็นอิสระ และมีความเป็นกลาง ปราศจากอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่ขาดไม่ได้คือจะต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง กล้าหาญที่จะตัดสินใจในเรื่องใหญ่ มั่นใจว่าน่าจะไม่สามารถที่จะถูกแทรกแซงจากองค์กรภายนอกได้ ตนภูมิใจได้รับการเสนอชื่อ แต่ไม่ว่าจะได้รับการไว้วางใจหรือไม่ แต่ตนจะปฎิบัติตนให้สังคมเชื่อมั่นในความอิสระ ตรงไปตรงมา คิดถึงประโยชน์ประเทศชาติประชาชนเป็นสำคัญ หากมีข้อสงสัยในเรื่องการทุจริต ตนจะพิจารณาตัวเองทัน โดยไม่ต้องมีกระบวนการทางกฎหมายมาตรวจสอบเป็นอันขาด

ทั้งนี้ ตนขอสัญญาประชาคมว่า การดำรงตำแหน่งจะอยู่เป็นวาระ และไม่เสนอเงื่อนไขว่าจะอยู่กี่ปี แต่จะเปิดให้ประเมินตนในตำแหน่งเป็นรายปี หรือรายสะดวก เปิดกว้างให้ ส.ว.ข้าราชการ สื่อมวลชน ได้ประเมินตนด้วย หากผลการประเมินไม่เป็นที่พอใจ ยินดีพิจารณาตัวเอง โดยไม่ต้องให้มีวาระอะไร สำหรับปรัชญาการทำงานคือจะยึดหลักนิติธรรมและธรรมาภิบาลในการประสานงาน ให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ยึดหลักความเป็นอิสระ กล้าหาญพอที่จะรับแรงกดดันจากกลุ่มภายนอก

“วุฒิสภายุคใหม่ต้องเชื่อมั่นในหลักการของการเมืองยุคใหม่ คือ การเมืองเปิด เปิดตัวเองให้โปร่งใส ตรวจสอบจากสมาชิก ข้าราชการและสื่อ ผมเชื่อว่า จากประสบการณ์ด้านกฎหมาย ทั้งกฎหมายไทย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา และจากประสบการณ์ที่ทำงานผู้พิพากษา ด้านการบริหาร การเมือง ยกร่างกฎหมาย จะทำให้ผมทำหน้าที่ประธานวุฒิสภา ได้สนับสนุนการทำงานเพื่อนสมาชิก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ด้าน นายทวีศักดิ์ คิดบรรจง ส.ว.บุรีรัมย์ แสดงวิสัยทัศน์ ว่า หากได้เป็นประธานจะพยายามสร้างความเข้าใจกับบุคคลภายนอก หรือสาธารณชนว่าองค์กรนี้จะเป็นหลัก ไม่ถูกครอบงำจากใคร จะทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ ตนเกิดที่บุรีรัมย์ ถูกมองว่ามีภาพของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ผมคิดว่าถ้าได้รับเลือกตั้งจะอยู่เพียง สองปีและจะพิสูจน์ให้เห็นว่าผมไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติของการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น

จากนั้น สมาชิกได้ลงคะแนนเลือกโดยเป็นการลงคะแนนลับด้วยการเขียนชื่อบุคคลที่จะเลือกลงในกระดาษแล้วใส่ซองปิดผนึก ซึ่งผลการนับคะแนนปรากฏว่า นายประสพสุข ได้ 78 คะแนน นายทวีศักดิ์ ได้ 45 คะแนน พล.อ.เลิศรัตน์ ได้ 15 คะแนน พล.ต.ท.มาโนช ได้ 6 คะแนน จึงถือว่า นายประสพสุข ได้เป็นประธานวุฒิสภา เนื่องจากได้รับคะแนนเกินหนึ่ง

ต่อมาเป็นการเลือกรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 โดยมีผู้ได้รับการเสนอชื่อ 8 คน ได้แก่ นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา นายนิคม ไวรัชพานิช ส.ว.ฉะเชิงเทรา นายไพบูลย์ ซำศิริพงศ์ ส.ว.ปทุมธานี นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี นายสมัคร เชาวภานันท์ ส.ว.สรรหา นายไรน่าน อรุณรังสี ส.ว.สรรหา พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ ส.ว.สุราษฎร์ธานี และนายประเสริฐ ชิตพงศ์ ส.ว.สงขลา แต่ นายประสาร นายดิเรก นายสมัคร และ พล.ต.ท.มาโนช ได้ขอถอนตัวทำให้เหลือผู้ชิงตำแหน่งเพียง 4 คน ซึ่งผลการลงคะแนนปรากฏว่า นายนิคม ได้ 68 คะแนน นายไพบูลย์ได้ 52 คะแนน นายไรน่าน ได้ 5 คะแนน นายประเสริฐ ได้ 18 คะแนน ซึ่งไม่มีใครได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งจึงต้องลงคะแนนใหม่ ซึ่งการลงคะแนนรอบสองเป็นการชิงกันระหว่างนายนิดม และนายไพบูลย์ ซึ่งผลปรากฏว่า นายนิคม ได้ 84 คะแนน ส่วน นายไพบูลย์ ได้ 79 คะแนน ส่งผลให้ นายนิคม ได้ตำแหน่งรองประธาน ส.ว.คนที่ 1

ส่วนรองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 มีผู้เสนอชื่อ 4 คน ประกอบด้วย นางจิราวรรณ จงสุทธนามณี วัฒนศิริธร นางนฤมล ศิริวัฒน์ นางทัศนา บุญทอง และ นางตรึงใจ บูรณสมภพ โดยผลการลงคะแนนปรากฏว่า นางจิราวรรณ ได้ 59 คะแนน นางทัศนา ได้ 50 คะแนน นางนฤมล ได้ 14 คะแนน นางตรึงใจ ได้ 18 คะแนน ซึ่งถือว่าผู้ที่ได้คะแนนนำไม่ถึงกึ่งหนึ่ง จึงต้องมีการลงคะแนนอีกรอบ ปรากฏว่า นางทัศนา ได้ 73 คะแนน ขณะที่ นางจิราวรรณ ได้ 67 คะแนน

จากนั้นได้เปิดโอกาสให้ว่าที่ประธานได้กล่าวต่อที่ประชุม โดย นายประสพสุข ได้กล่าวขอบคุณและยืนยันว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง และจะทำงานด้วยความสื่อสัตย์ สุจริต สมกับที่วางใจให้ทำหน้าที่ประธาน โดยจุดมุ่งหมายที่ได้แสดงวิสัยทัศน์ไปตนจะรักษาไว้สุดความสามารถ เพื่อให้สภามีเกียรติภูมิ เกียรติศักดิ์ และเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนสืบไป

ด้าน นายนิคม กล่าวว่า ตนจะขอทำหน้าที่ช่วยประธานบริการส.ว. โดยเฉพาะการยกศักดิ์ และศรีของวุฒิสภา เพราะเป็นเรื่องน้าเศร้าที่เวลาไปหาเสียงประชาชนไม่รู้จักสว. รู้จักแต่สส. ฉะนั้นจะต้องช่วยกันหาช่องทางให้ได้รู้จักส.ว. เพราะจะทำให้การกลั่นกรองกฎหมายและการตรวจสอบไร้ประสิทธิภาพ จึงจะใช้ความเป็นนักบริการในอาชีพที่อยู่ใน กทม.และความมุ่งมั่นในการรับใช้เพื่อทำหน้าที่อย่างดีที่สุด

ขณะที่ นางทัศนา กล่าวว่า ขอรับรองว่าจะรักษาเกียรตินี้ไว้อย่างสุดชีวิต โดยจะปฏิบัติการทำหน้าที่อย่าเป็นประโยชน์ ยึดหลักความถูกต้องดีงาม ยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และขอปวรณาตัวว่าตน มีหิริโอตปะพอที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง

จากนั้นประธานได้ กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไป จะมีการส่งชื่อไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อนำรายชื่อส่งทูลเกล้าฯ และจะมีการนัดประชุมครั้งต่อไป จากนั้นได้สั่งปิดประชุมเมื่อเวลา 15.25 น.

อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราห์ถึงเบื้องหลังที่ทำให้นายทวีศักดิ์ พ่ายแพ้ตั้งแต่รอบแรก เนื่องจากการแตกคอกันระหว่าง นายทวีศักดิ์ กับนายนิคม กล่าวคือ ได้มีการเปลี่ยนตัวให้นายไพบูลย์ มาร่วมทีมเป็นรองประธานคนที่ 1 แทนนายนิคมที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้นายนิคมเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อได้รับการประสานจากกลุ่มของนายประสพสุขจึงตัดสินใจนำสมาชิกในกลุ่มประมาณ 10 คน หันมาเทคะแนนสนับสนุนนายประสพสุข

นอกจากนี้ การที่ พล.ต.ท.มาโนช กลับลำลงชิงตำแหน่งในช่วงเย็นวันที่ 13 มี.ค.ทำให้กลุ่มอดีต ส.ว.49 เกิดเสียงแตก จากเดิมคาดกันว่าจะมีผู้ลงสมัครเพียง 3 คน คือ นายทวีศักดิ์ นายประสพสุข และพล.อ.เลิศรัตน์ ซึ่งจะทำให้การโหวตรอบแรกเสียงไม่ขาด และนายประสพสุข กับนายทวีศักดิ์ จะเข้าไปตัดเชือกกันในการโหวตรอบสอง โดยกลุ่มผู้สนับสนุน พล.อ.เลิศรัตน์ ส่วนใหญ่จะหันมาเทคะแนนให้นายทวีศักดิ์ แต่เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งกับนายนิคม และไม่สามารถเจรจาให้ พล.ต.ท.มาโนช ถอนตัวได้ จึงส่งผลให้นายทวีศักดิ์ผ่ายแพ้นายประสพสุข ไปในที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น