มท.1 ยืนยันไม่สั่งการผู้ว่าฯ สกัดกั้นการเคลื่อนไหวกลุ่มพันธมิตรฯ 28 มี.ค.นี้ รำลึกบุญคุณ “สนธิ” ที่มีต่อตระกูล “อยู่บำรุง” เตือนระวังถูกโดดเดี่ยวติดคุกคนเดียว เฉ่ง “อภิรักษ์” อย่าใจร้อนเร่งโชว์สปิริต รอ คตส.ส่งสำนวนฟ้องก่อนค่อยยุติบทบาท
วันนี้ (13 มี.ค.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะจัด “ยามเฝ้าแผ่นดิน ภาคพิเศษ” ในวันที่ 28 มี.ค.ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าคงไม่ไปสกัดกั้น ยุคนี้ห้ามผู้ว่าฯ ออกไปสกัดกั้น หากว่าชาวบ้านถามก็ต้องมีการชี้แจงว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น ส่วนจะมีการนำประชาชนมาอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา ถ้าประชาชนมาเองตนก็ขอชื่นชม ถ้าขนคนมาก็ขอสาปแช่ง ใครทำให้บ้านเมืองวุ่นวายก็ขอให้วิบัติไป
“ขอฝากบอกไปยังคุณสนธิ ลิ้มทองกุล กับพรรคพวก วันที่ศาลสั่งจำคุก ในเงื่อนไขในการประกันตัวมีเยอะ หากมีการเคลื่อนไหวแล้วผิดเงื่อนไขที่ศาลให้ประกัน ทนายฝ่ายโจทก์เขาร้อง นี่เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย ถ้าถอนประกันก็ต้องเข้าเรือนจำเลยนะ ขอเตือนในฐานะที่รู้จักกัน” รมว.มหาดไทย กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวยอมรับว่า ตนมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล มานาน มีความผูกพันกันตั้งแต่สมัยที่ตนเป็นตำรวจ กระทั่งลงมาเล่นการเมือง ได้พบวิบากกรรม รสช.ยึดอำนาจ ตนก็ได้หนีไปต่างประเทศ ส่วนสมบัติก็โดนอายัดทั้งหมด นายสนธิก็ส่งนายคำนูณ สิทธิสมาน เดินทางไปสัมภาษณ์ตนพร้อมกับนำเช็คเงินมาให้ 1 ใบ จำนวน 5 แสนบาท ฝากมาให้ใช้ เมื่อนำไปขึ้นเงิน เช็คก็เด้ง ทั้งนี้ นายสนธิก็ยังมุ่งหมายที่จะนำเงินมาให้โดยผ่านทางน้องชายของตน ดังนั้น ขอบอกว่าตนยังรำลึกบุญคุณ ไม่คิดเนรคุณ ทุกวันนี้ก็ไม่ได้เกลียดนายสนธิแต่อย่างไร แต่เป็นห่วงนายสนธิจะไปไกล สุดท้ายจะติดคุกคนเดียว นายสนธิบอกเสมอว่าไม่เคยกลัวใคร ตนอยากจะบอกว่าคนเมื่อถึงที่สุดไม่มีใครกลัวใคร อยู่ที่ความถูกต้องชอบธรรม ส่วนเรื่องการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯครั้งนี้ ตนไม่ให้ราคา และไม่ห่วง ไม่ติดตาม และไม่ขัดขวาง
“คุณสนธิรักผม จนเขียนในบทความว่าอยากให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมก็บอกว่าอย่าไปเขียนเลย เพราะว่าผมไม่มีความสามารถขนาดนั้น ผมไม่มีบุญวาสนา แต่ก็ยังเขียนและย้ำ รวมถึงได้ซื้อรถปอร์เช่ให้ลูกชายคนโตผมเมื่อ 13-14 ปีที่ผ่านมา อยากจะบอกให้สนธิเพื่อนรักหักห้ามใจเสียบ้าง ยังมีโอกาส อย่าไปทำอะไรที่มันไม่ชนะ เดี๋ยวบ้านเมืองวุ่นวาย วันนี้รัฐบาลก็ทำงานมาได้ 3 อาทิตย์ ส่วนรถคงไม่คืน เพราะลูกจะเก็บไว้เป็นของที่ระลึก เขาไม่ได้ให้ผม ส่วนลูกคนเล็กเขาก็ให้รถบีเอ็มดับบลิวอีกด้วย” ร.ต.อ เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวถึงกรณีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประกาศยุติบทบาทผู้ว่าฯ กทม.หลังจากที่ คตส.มีมติชี้มูลความผิดกรณีมีส่วนเกี่ยวข้องการทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานครว่า ไม่ใช่เป็นการแสดงสปิริต แต่ว่าอยู่ที่ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ซึ่งนายอภิรักษ์ไม่จำเป็นต้องยุติบทบาทการปฏิบัติหน้าที่ เพราะ คตส.เพียงแค่ชี้มูล นายอภิรักษ์ยังมีสิทธิที่จะชี้แจงข้อกล่าวหา สุดท้าย คตส.อาจจะยุติไม่ดำเนินคดีต่อนายอภิรักษ์ ก็ได้ ตนว่าควรทำงานต่อไปไม่ต้องรีบแสดงสปิริตอะไร เพราะว่าเดือน ก.ค.อายุการทำงานก็หมดแล้ว ต้องมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพหานครขึ้นมาใหม่ และกรณีของนายอภิรักษ์ แตกต่างจากท่านอื่นๆ เพราะว่า เป็นผู้ว่าฯ กทม.แล้วอนุมัติและมีส่วนร่วม ในการจัดซื้อจัดหารถและเรือดับเพลิง หากถูกชี้มูลความผิดและส่งขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองก็ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่อย่างชัดเจน เพราะว่าถูกกล่าวหาขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าฯกทม.ส่วนคนอื่นเป็นคนละกรณีคนละประเด็นทุกคนต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย
“การตีความกฎหมายไม่แปรเป็นโทษ ไม่อยากให้ให้มาถกเถียงกัน เป็นเรื่องของข้อกฎหมาย เก่งทุกคนและที่เรียนกฎหมาย ไม่เห็นต้องแสดงสปิริต อย่ารีบด่วน กว่าสำนวนจะเสร็จก็จะครบเทอมพอดี การออกมาแสดงสปิริตยังไม่ต้องอยู่ช่วยงานจัดระเบียบสังคมกันก่อน เพราะคตส.ยังไม่ทำสำนวนส่งฟ้องศาลแผนกคดีอาญาทางการเมืองไม่ต้องรีบ รอให้ทาง คตส.มีความเห็นสั่งฟ้องศาลฎีกาก่อนตรงนั้นจึงค่อยยุติบทบาทหน้าที่เนื่องจากคดีมีมูล” รมว.มหาดไทย กล่าวและว่า
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า กรณีของนายสมัครที่ถูกชี้มูล ขณะนั้นก็เป็นผู้ว่าฯ กทม.โดย กทม.ก็เป็นเขตปกครองพิเศษที่มาจากการเลือกตั้ง ใครจะก้าวก่ายไม่ได้ แต่วันนี้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนละเรื่อง เรียกได้ว่า ต่างกรรมต่างวาระการพิจารณาจะแตกต่างกัน หากนายอภิรักษ์จะไปจริงควรรอเวลาอีกนิด เรื่องนี้อยู่ในการสอบสวนของ คตส. คงไม่มีใครไปแทรกแซงได้ ดังนั้น ทุกอย่างควรรอให้ทาง คตส.ส่งสำนวนไปยังศาลอาญาแผนกคดีการเมืองก่อน จากนั้นจึงมาว่ากันอีกครั้ง