“รสนา” เปรียบตัวเองเหมือน ส.ว.เม็ดเลือดขาวที่มีจำนวนน้อย แต่มีความสำคัญที่จะคอยตรวจจับเชื้อโรคในสภา ลั่นลุยตรวจสอบรัฐบาลเต็มที่ เย้ยไม่ต้องกลัวไฟหากคิดว่าบริสุทธิเป็นทองแท้
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ เอเอสทีวี คืนวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยมีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งเปิดประเด็นซักถาม นายประสาน มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา นางรสนา โตสิตระกูล ส.ว. และเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธาน สสร. ถึงกรณีจับตา ส.ว.ลูกผสม ว่าจะมีหน้าตาออกมาเป็นอย่างไรนั้น
โดย นายประสาน กล่าวว่า ครม.ของรัฐบาลปัจจุบัน มีการยอมรับเองว่าขี้เหร่ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจสอบให้มาก และถ่วงดุลให้มาก ซึ่งต้องอาศัยวุฒิสภาเป็นสำคัญ และจะต้องมีอิสรเสรี ปลอดจากนักการเมือง แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน และที่สำคัญคือการเมืองภาคประชาชนจะต้องทำงานควบคู่กันไป
“2 สภา ถึงแม้ว่าจะเป็นสภาไส้ติ่งก็ตาม แต่คิดว่าน่าจะสามารถทำประโยชน์อะไรได้ ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดคืออำนาจของประชาชนอีกซีกหนึ่งที่เลือก ส.ว.เข้ามาคานอำนาจ และต่อสู้กัน รวมทั้งภาคประชาชน สื่อมวลชน สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเที่ยงธรรม เชื่อว่านจะมีความหมายต่อสังคม”นายประสาน กล่าว
นายประสาน ยังกล่าวถึงการเลือกประธาน และรองประธาน ส.ส.ว่า คนที่จะเข้ามาเป็นประธาน หรือรองประธานนั้น หลักสำคัญจะต้องปลอดจาดอำนาจการเมือง ซึ่งถ้าดูเหมือนว่าแอบอิงกับพรรคไหน ก็จะทำงานยาก และจะเกิดความเสียหาย รวมทั้งบุคคลนั้นจะต้องมีความรู้ความสามารถที่จะคุมเกมได้
ด้าน นางรสนา กล่าวว่า ส.ว.ต้องการความเป็นอิสระ และมีความเป็นกลางที่มุ่งไปสู่จุดหมาย โดยไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง โดยขณะนี้เราคือองคาพยพเดียวกับรัฐบาล ดังนั้นเราต้องไม่หวาดกลัวที่จะมีความขัดแย้ง หรือโต้แย้งกันบ้างเพื่อประโยชน์สูงสุดของส่วนรวม การตรวจสอบของเรา เปรียบได้กับเม็ดเลือดขาวที่มีอยู่น้อย แต่สามารถจับเชื้อโรคที่อยู่ในร่างกาย และถ้ารัฐบาลคิดว่าเป็นทองแท้ จะต้องไม่กลัวไฟ เพราะยิ่งไฟแรงเท่าใดก็จะยิ่งสุกปลั่ง ฉะนั้นเราจะต้องสร้างบรรทัดฐานของการตรวจสอบควบคู่ไปกับสังคม
“ต้องขอขอบคุณ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ที่ระบุว่าถ้าได้เป็น ส.ว.แล้ว จะได้รู้ว่าการเมืองในสภานั้นเป็นอย่างไร ซึ่งเราคงจะได้มีโอกาสพบปะ และตรวจสอบกันอย่างเต็มที่ เพราะเราถูกเลือกมาโดยประชาชน ฉะนั้นผู้แทนทุกคนจะต้องสำเหนียกในเรื่องนี้ และคุณจะต้องฟังเสียงประชาชนตลอดเวลา จึงอยากบอก ร.ต.อ.เฉลิม ว่า บ้านเมืองไม่ใช่ของเราเพียงคนเดียว”นางรสนา กล่าว
นางรสนา กล่าวถึงการกลั่นกรองกฎหมายว่า ถ้าเราเป็นเสียงส่วนน้อย ซึ่งรัฐบาลเขาจะเอาอย่างนั้น ส.ว.อย่างเราก็ไม่สามารถทำอะไรได้ รวมทั้งการตรวจสอบถอดถอน ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ไม่เคยมีเรื่องยื่นถอดถอนเลย เพราะไปตายอยู่ที่วุฒิสภาไส้ติ่ง เนื่องจากไม่ได้เป็นหัวใจ เพียงแต่รอโดนการตัดทิ้ง ถามว่าแล้วทุกวันนี้ ส.ว.ทำอะไร หรือเอาเพียงแค่ตำแหน่งเพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล แล้วประชาชนได้ประโยชน์อะไร และใครก็ตามที่จะเข้ามาเป็นประธาน ส.ว. คุณจะต้องสามารถผลักดันภารกิจที่จะยกระดับวุฒิสภา ให้มีความใหม่ และมีประสิทธิภาพ เพราะตอนนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ
ด้าน นายเสรี กล่าวว่า นางรสนา เป็นตัวแทนที่เด่นชัดมากในการตรวจสอบ โดยเฉพาะรัฐบาลชุดที่แล้ว ฉะนั้นภาพจึงออกมาค่อนข้างชัดเจน แต่มี ส.ว.บางคน โดยตอนแรกที่ถูกเลือกเข้ามาก็มีอิสระ แต่พอหนักๆ เข้ามีผลประโยชน์เรื่องทรัพย์สิน เงินทอง และตำแหน่งหน้าที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดรวมตัวกัน ซึ่งทำให้เกิดการต่อต้านเรื่องการตรวจสอบในเวลาต่อมา
“หลายคนถามผมว่า เวลาเขียนรัฐธรรมนูญแล้วไปตัดสิทธิของตัวเองทำไม ก็เพราะเจตนารมณ์ของผม คือ ต้องการให้เปลี่ยนคนดีๆ เข้ามาในสภา ซึ่งขอเตือนคนที่กำลังออกอาการอยู่ตอนนี้ว่าอย่าทำเลย เพราะจะกลายเป็นส่งสัญญาณว่าเกิดอาการกลัว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้โกง หรือกระทำผิดอะไร สมัยนี้ทำงานยาก เพราะเขามีกฎห้าม ส.ว.แทรกแซง ก้าวก่ายข้าราชการ เพราะถ้าไปเสนอ หรือไปอภิปราย สมาชิก ส.ว.ก็จะสิ้นสุดลงทันที รวมทั้งยังต้องระวังเรื่องฝากลูกฝากหลานเข้าเรียนอีกด้วย”นายเสรี กล่าว
นายเสรี กล่าวอีกว่า ต่อไปนี้เวลาที่ ส.ว.จะขอลุกขึ้นพูดในสภา ควรที่จะบอกชื่อ และนามสกุล โดยไม่ต้องบอกว่ามาจากจังหวัดใด เพราะจะเป็นการหาเสียงให้กับตัวเอง และเมื่อเป็น ส.ว.แล้ว จะดูว่าคนส่วนใหญ่รับประธาน และรองประธาน ส.ว.ได้หรือไม่ เพราะจะต้องเป็นที่ยอมรับ และทำงานได้ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา เคยมีประธานที่เลือกเข้ามาแล้วทำงานไม่ได้ ดังนั้นการซื้อเสียงกัน หรือเสนอให้ผลประโยชน์จึงไม่ควรทำ
