xs
xsm
sm
md
lg

อนุฯ กกต.มีมติให้ใบแดง “ทั่นยุทธ” ทุจริตเลือกตั้งเชียงราย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คณะอนุ กก.สอบทุจริตเลือกตั้งเชียงรายมีมติให้ใบแดง “ประธานยุทธ” หลังพยานยืนยันทำผิดจริง เตรียมเสนอ กกต.ใหญ่พิจารณา ก่อนส่งศาลฎีกาฯ ชี้ขาด ลุ้นต่อยุบ “พลังประชาชน”

วันนี้ ( 14 ก.พ.) คณะอนุกรรมการสอบสวนกรณีทุจริตเลือกตั้งเชียงราย ที่มีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธาน ได้มีการประชุมเพื่อสรุปสำนวนความเห็นต่อกรณีที่นายวิจิตร ยอดสุวรรณ อดีตผู้สมัครส.ส.เชียงราย พรรคชาติไทย ได้ยื่นคำร้องคัดค้านนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยนายสุวิทย์ กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้สอบสวนพิจารณาข้อเท็จจริงโดยอาศัยสำนวนชุดเดิมของสันติบาล และได้สอบถามพยานเพิ่มเติม อีกทั้งได้ลงพื้นที่จ.เชียงรายเพื่อไปสอบสวนพยานบุคคลเพิ่มเติม ทั้งนี้สามารถแยกพยานออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.พยานให้การยืนยันตามเดิม 2.พยานที่ให้การเพิ่มเติมและ 3.พยานที่ไม่ยอมให้ปากคำเพิ่มเติม ซึ่งจากการสอบปากคำกำนันส่วนใหญ่ที่ถูกกล่าวหาก็ให้การตามที่เคยให้การกับคณะอนุกรรมการสอบสวนฯ ชุดเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้คณะกรรมการฯ ได้สอบสวนนางละออง ติยะไพรัช และนายอิทธิเดช แก้วหลวง ส.ส.เขต 3 จ.เชียงราย ส่วนนายยงยุทธนั้นคณะกรรมการฯ ไม่ได้สอบสอบสวนเพิ่มเติม เนื่องจากนายยงยุทธได้ยืนกรานตามคำให้การเดิม จากที่เคยให้การกับ กกต.ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งพยานฝ่ายนายยงยุทธนั้นได้ยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง มีกระบวนการจัดทำพยานเท็จขึ้นมา โดยหลังจากที่คณะกรรมการฯ ได้รับฟังคำให้การแล้วพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ก็นำข้อเท็จจริงมาพิจารณากับข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.มาตรา 53,57 จนได้ข้อสรุปและได้เสนอความเห็นให้ กกต.พิจารณา ซึ่งคาดว่าจะนำเข้าสู่การประชุม กกต.ในเร็ว ๆ นี้

“ผมสืบสวนสอบสวนฯ โดยไม่ได้คำนึงว่าผลข้างหน้าจะเป็นอย่างไร โดยเราพิจารณาตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพราะเป็นแค่พนักงานสืบสวนสอบสวนก็ต้องพิจารณาไปตามพยานหลักฐาน ไม่เกี่ยวข้องกับใคร จากนี้เป็นหน้าที่ของกกต.ที่จะตัดสินและจะลงมติไปตามที่เราได้เสนอไปหรือไม่”นายสุวิทย์ กล่าว

สำหรับเนื้อหามาตรา 53 ( 2) ระบุว่า ห้ามไม่ให้ผู้สมัครกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่นหรือพรรคการเมืองให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงินทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ไม่มีโดยตรงหรือโดยอ้อม แก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัดสถาบัน การศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด ส่วนมาตรา 57 พ.ร.บ.เดียวกันระบุว่า ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายกระทำการใด ๆ เพื่อเป็นคุณแก่เป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง

ทั้งนี้มีรายงานว่า จากการให้ถ้อยคำของกำนันในจ.เชียงรายทั้ง 10 คน ที่ถูกระบุว่า ได้ถูกคนของนายยงยุทธ พาขึ้นเครื่องบินมากรุงเทพ เพื่อพูดคุยรับงานจากนายยงยุทธ ยืนยันว่า ได้รับเงินจากนายยงยุทธรายละ 2 หมื่นบาทจริง ดังนั้นจากพยานหลักฐานดังกล่าว คณะอนุกรรมการจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นว่าจากพยานหลักฐานดังกล่าวนายยงยุทธกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งจริง

ซึ่งตามระเบียบสืบสวนสอบสวนฯ เมื่อคณะกรรมการฯ ได้สรุปความเห็นแล้วก็จะต้องเสนอเรื่องผ่านเลขาธิการ กกต.เพื่อมีความเห็นจากนั้นเลขาธิการ กกต.จะเสนอต่อประธานกกต.ให้บรรจุระเบียบวาระให้ที่ประชุม กกต.พิจารณา โดยขณะนี้ความเห็นของคณะกรรมการฯ ยังไม่ถึงมือเลขาธิการกกต. ทั้งนี้ กกต.ไม่มีความจำเป็นต้องมีความเห็นยืนตามคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนหรืออาจให้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนสืบเพิ่มเติมได้

อย่างไรก็ตามการที่คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน มีความเห็นว่านายยงยุทธกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งตามหลักแล้วนายยงยุทธเป็นส.ส.สัดส่วน ดังนั้นความผิดที่เกิดขึ้น หาก กกต.มีความเห็นยืนตามคณะอนุกรรมการฯ กกต.ก็ไม่สามารถมีความเห็นให้มีการเลือกตั้งใหม่(ใบเหลือง)กับนายยงยุทธได้ แต่ต้องเป็นความเห็นว่านายยงยุทธสมควรถูกสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง) ซึ่งจะต้องมีการเสนอเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณา

หากศาลฎีการับคำร้องนายยงยุทธก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าทันที จนกว่าศาลฎีกาจะคำสั่งยกคำร้อง แต่ถ้าต่อมาศาลมีคำพิพากษาสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธตามที่ กกต.เสนอ นายยงยุทธก็จะพ้นจากสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.ทันที จากนั้น กกต.ก็จะพิจารณาตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนฯ เพื่อพิจารณาว่า พรรคมีส่วนรู้เห็นปล่อยปละละเลยหรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้ว ไม่ยับยั้งหรือแก้ไขหรือไม่ เพราะจากการกระทำของนายยงยุทธที่ในขณะกระทำผิดมีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรคที่ถือว่าเป็นกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ ซึ่งตามมาตรา 103 พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.นั้นระบุว่า หากพรรครู้เห็นต่อการกระทำการดังกล่าวให้ถือว่า พรรคการกระทำการนั้นเพื่อให้ได้ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศที่ถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ถือเป็นเหตุให้นายทะเบียนสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้สั่งยุบพรรคได้ และให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่ง

ส่วนเมื่อนายยงยุทธ พ้นสมาชิกสภาพความเป็นส.ส.สัดส่วนกลุ่มที่ 1 แล้ว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 109(2) ก็กำหนดว่าในกรณีที่เป็นตำแหน่งส.ส.แบบสัดส่วนว่างลง ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรประกาศให้ผู้มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อจองพรรคการเมืองนั้นในเขตเลือกตั้งนั้น เลื่อนขึ้นมาเป็นส.ส.แทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งในกรณีนี้ผู้สมัครส.ส.สัดส่วนที่อยู่ในบัญชีลำดับที่ 6 ของพรรคพลังประชาชนก็คือนายถาวร ตรีรัตนณรงค์

ขณะที่สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. กล่าวภายหลังการประชุมกกต.ว่า ที่ประชุมกกต.ได้มีการพิจารณาสำนวนคัดค้านการเลือกตั้งส.ส.เขต 2 จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งได้คัดค้าน นายเอี่ยม ทองใจสด, นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ และนายสุรศักดิ์ อนรรฆพันธ์ 3 ผู้สมัครจากพรรคพลังประชาชน ในข้อหาจัดเลี้ยงเพื่อจูงใจให้ได้คะแนนนิยม โดยที่ประชุมกกต.มีมติเสนอให้สั่งเลือกตั้งใหม่ในเขต 2 จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งหลังจากนี้จะให้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยของกกต. ทำความเห็นยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา ภายใน 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามสำหรับสำนวนคำร้องคัดค้าน 3 ผู้สมัครดังกล่าวในคำร้องอื่นๆ กกต.ได้มีมติให้ยกคำร้องไปก่อนหน้านี้แล้ว

เมื่อถามถึงกรณีที่คณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีทุจริตการเลือกตั้งจ.เชียงราย ที่มีนายสุวิทย์ ธีรพงษ์ เป็นประธาน ได้สรุปความเห็นเสนอต่อกกต. นายสุทธิพล กล่าวว่า ทางอนุกรรมการฯ ยังไม่ได้ส่งเรื่องมายังสำนักงานเลขาธิการกกต. แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้สรุปความเห็นเสนอโดยตรงต่อ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. โดยตรงเลยหรือไม่ แต่ยืนยันว่าในที่ประชุม ไม่ได้หยิบยกประเด็นนี้มาพิจารณา และยังไม่เห็นเรื่องที่คณะอนุกรรมการฯ สรุปมา

ด้านนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธานกกต. กล่าวถึงการพิจารณาสำนวนร้องคัดค้านนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการให้ใบแดง นายอภิชาต กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ไม่มี ที่ประชุมยังดูเรื่องนี้เลย มีใบแดง แต่เป็นเรื่องคัดค้านการเลือกตั้งท้องถิ่น
กำลังโหลดความคิดเห็น