เวลาเปลี่ยน-ใจคนส่อเค้าเปลี่ยนตาม ล่าสุดคดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ ของ “เมียแม้ว” ส่อเค้ายุ่ง หลังจำเลยยื่นคำร้องขอสอบพยานจากกองทุนฟื้นฟู-กรมที่ดินเพิ่ม ขณะที่ “อุดม” เตือนหากพยานกลับคำให้การที่บันทึกถ้อยคำแล้วถือว่ามีความผิด
วันนี้ (23 ม.ค.) นายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกของ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีคุณหญิงพจมานในฐานะจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวเข้ายื่นคำให้การปฎิเสธเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พร้อมทั้งยื่นคำร้องขอสอบพยานเพิ่มเติม โดยเฉพาะกองทุนเพื่อการฟื้นฟูกิจการและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และกรมที่ดิน ว่า เป็นสิทธิของจำเลยที่สามารถทำได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย
นายอุดม ยืนยันว่า ในชั้นอนุกรรมการไต่สวนของ คตส.ได้มีการสอบพยานหลักฐานรวมทั้งบุคคลที่ ผู้ถูกกล่าวหาได้มีการอ้างถึงครบถ้วนหมดแล้ว ดังนั้น คตส.ไม่วิตกและกังวลแต่อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเป็นหน้าที่และดุลพินิจของศาลว่าจะพิจารณาอย่างไร โดยจะต้องนำสำนวนที่อัยการสูงสุดส่งให้ศาลมาตรวจสอบอีกครั้งว่ามีหลักฐานสมบูรณ์หรือไม่ ซึ่งมั่นใจว่าหลักฐานที่ คตส.ส่งให้อัยการสูงสุดครบถ้วนหมดแล้ว
เมื่อถามว่าการอ้างพยานเพิ่มเป็นกองทุนฟื้นฟูฯ กับกรมที่ดิน จะส่งผลกระต่อคดีหรือไม่เพราะ คตส.ก็ใช้พยานเดียวกันในการสรุปสำนวนส่งอัยการสั่งฟ้อง นายอุดม กล่าวว่า ไม่เป็นปัญหา ใครจะไปเชิญใครมาเป็นพยานก็เป็นสิทธิส่วนตัว แต่ผู้ที่มาให้ถ้อยคำและเป็นพยานให้กับอนุกรรมการไต่สวน ได้มีการลงนามบันทึกการให้ถ้อยคำไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อยแล้ว หากกลับคำให้การถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย เพราะต้องรับผิดชอบต่อการให้ถ้อยคำหรือการเป็นพยานให้กับ คตส.ด้วย
เมื่อถามว่าจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่กองทุนฟื้นฟูฯ กับกรมที่ดิน จะอ้างว่าการมาเป็นพยานให้กับ คตส.เพราะมีหนังสือออกเป็นหมายเรียกจึงต้องมาให้ถ้อยคำหรือเป็นพยานกับ คตส. นายอุดม กล่าวว่า อย่าเพิ่งพูดไปเลย เพราะพยานที่คุณหญิงพจมาน และทีมทนายอ้างถึงจะเป็นใครนั้นยังไม่มีใครทราบเลย แต่หากเป็นพยานคนเดียวกันกับ คตส.ศาลจะเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยเองว่าจะเชื่อหรือไม่ ในกรณีกลับคำให้การ ซึ่ง คตส.ไม่เป็นห่วงในเรื่องนี้แต่อย่างใด
/0110