สำนวนสอบสอย “ทั่นยุทธ” เข้าที่ประชุม กกต.สัปดาห์หน้า ขณะ “สมชัย” หนุนขยายเวลาสอบเพิ่มอีก 1 เดือน อ้างเป็นเรื่องใหญ่มีผลกระทบมาก และป้องกันปัญหาภายหลัง พร้อมทั้งโยนให้ศาลฎีกาชี้ขาดยุบ-ไม่ยุบ “พลังแม้ว”
วันนี้ (22 ม.ค.) นายสุเมธ อุปนิสากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวถึงการลาออกจากกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่า เจ้าหน้าที่ด้านพรรคการเมืองจะเสนอที่ประชุมให้รับทราบการเปลี่ยนแปลง ส่วนจะกระทบกับสำนวนการพิจารณาหรือไม่ ยังไม่คิดถึงจุดนั้น และเป็นคนละประเด็นกัน ซึ่งการที่ นายยงยุทธไปเป็นประธานสภาผู้แทยราษฎร ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการพิจารณา ถ้ามีมูลก็อาจต้องถูกเพิกถอนสิทธิ์
ส่วนที่ นายวิจิตร ยอดสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย พรรคชาติไทย จะถอนคำร้องคัดค้านนั้น นายสุเมธ กล่าวว่า ยังไม่มีการนำเข้าที่ประชุม และยังไม่พิจารณาทั้งเรื่องขอถอน และผลการสอบสวน เพราะอนุกรรมการยังสอบสวนพยานอยู่ คาดว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ กกต.คงจะได้พิจารณาผลสอบสวน
กกต.ผู้นี้ยังกล่าวถึงการสอบสวนเรื่องร้องคัดค้าน ว่า ขณะนี้มีอยู่ 20 เรื่อง หากไม่มีมูลก็ยกคำร้อง หากเพิกถอนสิทธิ์ก็เลือกตั้งใหม่ และส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาโดยจะให้อัยการเป็นผู้ยกร่างคำฟ้องให้
ด้าน นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ยืนยันว่า แม้ นายยงยุทธ จะลาออกจากการเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน เพื่อรับตำแหน่งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อสำนวนร้องคัดค้านที่ กกต.พิจารณาอยู่
“หากผลการวินิจฉัยไม่มีมูล ฟังไม่เพียงพอ ก็ยกคำร้อง ไม่กระทบ นายยงยุทธ แต่ถ้าเห็นว่ามีมูล กกต.ต้องส่งศาลฎีกาให้วินิจฉัย ซึ่งตอนนั้นแปลว่า กกต.มีพยานหลักฐานครบถ้วนแล้ว แต่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดอย่างไร ถือเป็นอำนาจของศาล แต่ส่วนตัวเห็นว่าเรื่องการพิจารณาสำนวนนายยงยุทธ เป็นเรื่องใหญ่ การส่งให้ศาลพิจารณาเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว” นายสมชัย ระบุ
สำหรับกรณีคณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องที่ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชันยื่นคำร้องเพื่อให้สอบกรณีพรรคพลังประชาชนเป็นนอมินีพรรคไทยรักไทย และล่าสุด คณะอนุกรรมการสอบสวน ที่มี นายไพฑูรย์ เนติโพธิ์ เป็นประธาน ได้ขอขยายเวลาการสอบสวนออกไปอีก 1 เดือน นายสมชัย กล่าวว่า คณะอนุกรรมการให้เหตุผลว่า เนื่องจากพยานมีจำนวนมาก และคาดว่า จะสืบสวนไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ในวันที่ 27 ม.ค.นี้ ซี่งการขยายผลการสืบสวนก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เชื่อว่า จะไม่กระทบต่อการสอบสวน เพราะเมื่อพิจารณาเสร็จแล้วก็ต้องไปที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่ พยานหลักฐานมีส่วนสำคัญมาก ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเร่งพิจารณา หรือทำตามแค่กระแส เพราะหากเกิดความผิดพลาดหรือทำไม่ดี กกต.ก็ต้องรับผิดชอบภายหลัง
“ทุกคนก็ไปพิสูจน์กันที่ศาล เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องมีพยานหลักฐานที่ต้องทำให้ถูกต้องสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบทำตามกระแส เพราะหากผิดพลาดแล้วก็ต้องรับผิดชอบ สู้ทำให้มันสมบูรณ์นั้นดีกว่า”
ขณะที่ นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.กล่าวว่า การลาออกจากรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ของนายยงยุทธ เป็นไปตามกติกาของรัฐธรรมนูญที่กำหนดว่าผู้จะดำรงตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราฎรต้องไม่เป็นกรรมการบริหารพรรค โดยในการประชุม กกต.ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองก็จะได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรคของพรรคพลังประชาชน
ส่วนเรื่องร้องคัดค้าน นายยงยุทธ ทางอนุกรรมการอยู่ในระหว่างการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมโดยเมื่อดูจากกฎหมายแล้ว กระบวนการยังทำต่อไป หากผลการสืบสวนเสร็จแล้วอนุคณะกรรมการเสนอกกต.พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นกรณีความผิดที่ต้อองเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ กกต.ก็จะยื่นคำร้องไปยังศาลฎีกา กระบวนการพิจารณาจะใช้วิธีการไต่สวนเรื่องพยานหลักฐาน
“ศาลฎีกาจะเป็นผู้ตัดสินในส่วนการเพิกถอนสิทธิ์ หรือในส่วนให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นความผิดเฉพาะตัวของ นายยงยุทธ ส่วนจะโยงไปถึงพรรคพลังประชาชนหรือไม่ ต้องรอศาลฎีกามีคำตัดสินก่อน กกต.จะต้องนำมาพิจารณา โดยการพิจารณาจะต้องมีขั้นตอนตามพรบ.พรรคการเมือง เช่น การพิจารณาในชั้น กกต.การส่งเรื่องไปที่อัยการสูงสุด และท้ายสุดก็ส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจว่าจะวินิจฉัยยุบพรรคหรือไม่”
นายสุทธิพล กล่าวด้วยว่า ขั้นตอนการพิจารณาของคณะอนุกรรมกรรมการสอบสวนสืบสวน จะเสนอสำนวน นายยงยุทธ เข้าที่ประชุมในสัปดาห์หน้า ส่วนจะขอขยายเวลาได้หรือไม่ ยังไม่แน่ใจ แต่เท่าที่ทราบคณะอนุกรรมการสืบสวนได้เร่งพยานฝ่ายผู้ร้องให้เสร็จสิ้น จากนั้นจะเริ่มกระบวนการของฝ่ายผู้ถูกคัดค้าน ซึ่งเหลือพยานไม่มากแล้ว
/0110