xs
xsm
sm
md
lg

“สมชัย” เดือด! ขู่ฟ้อง “วีระ” - ยัน “ยงยุทธ” มีสิทธิรู้สำนวนก่อน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สมชัย” เตรียมฟ้อง “วีระ สมความคิด” หลังยื่น ป.ป.ช.สอบเอาผิดฐานไม่ยอมคืนเอกสารลับซื้อเสียงเชียงราย อ้างทำให้เสียหาย พร้อมแจง กกต.มีสิทธิเก็บรักษาสำนวนเพื่อประโยชน์ทางคดี แถมยกข้อ กม.อ้าง “ยุทธ ตู้เย็น” มีสิทธิรู้สำนวนเพื่อแก้ข้อกล่าวหาได้ ด้าน เลขาฯ กกต.ระบุไม่ใช่มติ กกต.แต่เป็นเรื่องส่วนตัวของนายสมชัย

วันนี้ (16 ม.ค.) นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย เปิดเผยว่า ตนได้ให้เจ้าหน้าที่ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ที่ดูแลอยู่ไปรวบรวมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับกรณีที่ นายวีระ สมความคิด ประธานคณะกรรมการอำนวยการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน กล่าวหาว่า ตนทำสำนวนการทุจริตเลือกตั้งที่ จ.เชียงราย รั่ว ไปถึง นายยงยุทธ ติยะไพรัช ว่าที่ ส.ส.ระบบสัดส่วนกลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน โดยได้ให้เจ้าหน้าที่ไปประสานขอเอกสารที่นายวีระยื่นต่อ ป.ป.ช.เพื่อนำมาพิจารณาดำเนินการฟ้องร้อง นายวีระ ที่ทำให้ตนเกิดความเสียหายและเสื่อมเสียชื่อเสียง

ทั้งนี้ นายสมชัย ยังได้นำเอกสารเรื่องสิทธิ์ในสำนวนการสืบสวนสอบสวน และการเก็บรักษาสำนวนมาแจกจ่ายต่อสื่อมวลชน โดยเอกสารดังกล่าวระบุว่า จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบัญชาการตรวจสันติบาลได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนการร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส.แบบสัดส่วนกลุ่มที่ 1 กรณี นายยงยุทธ ติยะไพรัช ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชาชน โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลได้มีการนำเสนอสำนวนการสอบสวนต่อ กกต.โดยได้รับอนุญาตให้เข้าชี้แจงประกอบการเสนอสำนวนต่อที่ประชุม กกต.ด้วย แต่ต่อมามีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในทำนองว่า มี กกต.คนหนึ่ง ไม่ส่งคืนสำนวนให้แก่ตนเป็นเหตุให้ข้อเท็จจริงในสำนวนรั่วไหลถึงบุคคลอื่นนั้น ข่าวดังกล่าวทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการพิจารณาวินิจฉัย และการเก็บรักษาสำนวน กอปรกับมีกลุ่มคนบางกลุ่มจงใจเสนอข่าวให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดว่า ตนเองไม่คืนสำนวนให้ตำรวจสันติบาลที่ทำหน้าที่สอบสวนเรื่องนี้ และทำให้สำนวนรั่วไหลออกไป จึงขอชี้แจงว่าคณะกรรมการสืบสวน คือ บุคคลที่ กกต.อาศัยอำนาจตามกฎหมายแต่งตั้งขึ้น เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานใด หรือบุคคลใดก็ตามที่ได้รับการแต่งตั้ง เป็นคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของ กกต.และมีหน้าที่รายงานผลการสืบสวนให้เลขาธิการ กกต.ทราบโดยตรง ดังนั้น สำนวนการสืบสวนสอบสวน จึงเป็นเอกสารของสำนักงาน กกต.เพื่อเก็บรักษาไว้ใช้ประโยชน์ในการพิจารณาคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หรือคดีที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งเก็บรักษาความลับในสำนวนไว้อย่างเป็นระบบ

เมื่อคณะกรรมการสืบสวนทำรายงานเพื่อสรุปข้อเท็จจริง หรือเหตุผล เสนอต่อ กกต.ในทางปฏิบัติสำนักงานจะจัดทำสำเนาและความเห็นส่งให้กับ กกต.แต่ละคน เพื่อวินิจฉัยและลงมติในที่ประชุม รายงานการสืบสวนในส่วนที่สำเนาให้กับ กกต.จะไม่มีการเรียกคืน เพราะเป็นอำนาจโดยเด็ดขาดของ กกต.ในการถือครองสำนวนประกอบกับเพื่อให้ กกต.เก็บสำนวนไว้ตรวจสอบว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนจัดทำคำวินิจฉัยเป็นไปตามมติของ กกต.หรือไม่ ก่อนที่ กกต.แต่ละท่านจะลงนามในคำวินิจฉัยต่อไปได้ และเมื่อ กกต.วินิจฉัยเสร็จแล้วทางสำนักงานก็จัดเก็บสำนวนทุกสำนวน และลงสารบบไว้ หากหน่วยงานใดต่อการสำนวนไปดำเนินการต่อ เช่น การดำเนินคดี ก็ต้องทำเรื่องขอเบิกสำนวนไว้เป็นหลักฐาน เพื่อไม่ให้มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนสำนวนในภายหลังได้

นอกจากนี้เอกสารดังกล่าวยังได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับสำนวนทุจริตเลือกตั้งที่เชียงราย ระบุว่า การที่เสนอข่าวโดยจงใจว่า มี กกต.คนหนึ่งไม่คืนสำนวน และเป็นหตุให้ข้อเท็จจริงสำนวนถูกเปิดเผยให้คนอื่นได้รับรู้นั้นด้านกิจการสืบสวนสอบสวนได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ยังไม่พบว่าสำนวนดังกล่าว หรือสำนวนอื่นถูกเปิดเผย แต่เป็นเพียงการกล่าวหา โดยปราศจากหลักฐาน หรือไม่อยู่บนมูลแห่งความจริงโดยสิ้นเชิง และไม่ทราบว่าผู้กล่าวหามีวัตถุประสงค์ใด

นอกจากนี้ กฎหมายได้กำหนดให้ความคุ้มครองแก่ผู้ถูกกล่าวที่จะได้รับทราบ เหตุแห่งการร้อง การคัดค้าน หรือการกล่าวหา มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง หลักฐาน รวมทั้งให้โอกาสมาให้ถ้อยคำต่อ กกต.ดังนั้น ผู้ถูกกล่าวจึงได้รับความคุ้มครอง และมีสิทธิที่จะทราบเหตุแห่งการร้องตามสมควร และเป็นเรื่องปกติที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

“การจงใจให้ข่าวเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวโดยหลักการเห็นว่าเป็นเรื่องทีดี่ ที่ทุกฝ่ายในสังคมจะได้ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของส่วนร่วม แต่เห็นว่าหากจะให้เกิดประโยชน์ต่ออประเทศชาติอย่างแท้จริง ทุกฝ่ายจักต้องใช้สิทธิ์โดยสุจริต ไม่จงใจกล่าวหาผู้อื่นโดยปราศจากข้อเท็จจริงหรือใช้อคติ หรือประโยชน์ของกลุ่มตนเป็นสำคัญ หรือเห็นว่าการกระทำนั้นไม่เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มตน ในส่วนของ กกต.ความเป็นกลาง ถือว่าเป็นจริยธรรมขั้นพื้นฐานที่บุคคลทุกระดับยึดถือป็นแนวทางปฏิบัติอย่างเคร่งครัด หากมีบุคลากรไม่ว่าในระดับใดของ กกต.ได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย หรือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไม่เป็นกลาง ประชาชนก็อาจใช้สิทธิดำเนินการตามกฎหมายได้” เอกสารของนายสมชัย ระบุ

ด้าน นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวตนไม่ทราบ และไม่ได้เป็นมติของ กกต.เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของนายสมชัย ต้องไปถามนายสมชัยเอง แต่หากเรื่องดังกล่าวเป็นมติของ กกต.ก็ต้องสั่งทางสำนักงานไปดำเนินการ
กำลังโหลดความคิดเห็น