อนุฯดับเพลิง สั่งฟันอดีตปลัด กทม.เป็นรายที่ 6 หลังยื้อให้สอบพยานเพิ่ม เผยพยานให้การไม่มีน้ำหนัก หลักฐานมัดแน่น จับตา เอาผิด “อภิรักษ์-วัฒนา” พรุ่งนี้ ขณะที่อนุฯเซ็นทรัลแล็บ เตรียมฟันแก๊งงาบ 3 กลุ่มบุคคล กว่า 30 คน
วันนี้ (9 ม.ค.) รายงานข่าวจาก คตส.แจ้งว่า เมื่อวันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการไต่สวนคดีการจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร ที่มีนายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส.เป็นประธาน ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาข้อกล่าวหา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณหญิงณฐนนท ทวีสิน อดีตปลัด กทม.ว่า สมควรที่จะถูกต้องข้อกล่าวหาเป็นรายที่ 6 หรือไม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ คณะอนุกรรมการไต่สวน ได้มีมติให้ชี้มูลความผิด คุณหญิงณฐนนท ในฐานะที่สนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิดในคดีนี้ไปแล้ว แต่ คุณหญิงณฐนนท ได้ทำหนังสือมาถึง คตส.เพื่อขอชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติม พร้อมอ้างพยานจำนวน 1 ปากให้คณะอนุกรรมการสอบปากคำเพิ่มด้วย
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่คณะอนุฯ ได้ออกหนังสือเรียกตัวพยาน ตามที่คุณหญิงณฐนนท อ้างถึง มาสอบปากคำ ปรากฏว่า คำให้การของพยานรายนี้ ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ และไม่สามารถรับฟังได้ ในการประชุมคณะอนุฯ เมื่อวันที่ 8 มกราคม คณะอนุกรรมการจึงได้ลงมติที่จะให้ตั้งข้อกล่าวหากับ คุณหญิงณฐนนท เป็นรายที่ 6 ในข้อหาตัวการสนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิดในคดีนี้เช่นเดิม
ข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 10 มกราคม นี้ คณะอนุฯ ไต่สวนคดีนี้ มีนัดหมายประชุมอีกครั้ง เพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม.และนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่า สมควรที่จะถูกตั้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในคดีนี้ หรือไม่
ด้าน นางเสาวนีย์ อัศวโรจน์ กรรมการ คตส.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบคดีการจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ของบริษัท ห้องปฏิบัติการกลางตรวจสอบผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรและอาหาร จำกัด หรือ เซ็นทรัลแล็บ กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคดีนี้ ว่า ขณะนี้คณะอนุฯ กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำสำนวนสรุปผลการตรวจสอบคดีนี้ เพื่อนำเสนอให้ที่ประชุม คตส.ชุดใหญ่ พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนดำเนินการในขั้นตอนต่อไป แต่คงนำเสนอไม่ทันในการประชุม คตส.ชุดใหญ่ วันที่ 14 มกราคม นี้ เนื่องจากข้อมูลการตรวจสอบคดีนี้ มีรายละเอียดค่อนข้างมากและสลับซับซ้อน รวมถึงจำนวนบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นางเสาวนีย์ กล่าวว่า สำหรับประเด็นตรวจสอบที่อยู่ระหว่างการสรุปผลในขณะนี้ ประกอบไปด้วย 1.ที่มาและขั้นตอนการจัดตั้งบริษัทแห่งนี้ ว่า มีรายละเอียดเป็นอย่างไร การจัดตั้งคุ้มค่าหรือไม่ 2.การจัดซื้อจัดจ้างเครื่องมือและอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ที่พบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 หรือ พ.ร.บ.ฮั้ว และพบส่วนต่างเกิดขึ้นทำให้รัฐเสียหายเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท และ 3.ข้อมูลเกี่ยวกับการติดตามเส้นทางการเงิน ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีรายละเอียดที่ค่อนข้างซับซ้อนและมีบุคคลจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง
“กลุ่มบุคคลที่จะถูกเสนอให้มีการตั้งคณะอนุฯ ไต่สวน ในคดีนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้น 1.กลุ่มนักการเมืองที่เกี่ยวข้อง 2.คณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการชุดต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และ 3.ฝ่ายเอกชน ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนมากกว่า 30 คนขึ้นไป”
นางเสาวนีย์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการติดตามเส้นทางเงินในคดีนี้ ซึ่งคณะอนุฯ พบว่า มีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก และมีลักษณะการกระทำที่เข้าข่ายการฟอกเงิน ภายหลังจากที่ประชุม คตส.ชุดใหญ่ มีมติให้ตั้งคณะอนุฯไต่สวนแล้ว ก็คงจะมีการส่งข้อมูลส่วนนี้ ไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการในส่วนนี้ต่อไป
“การตรวจสอบเส้นทางการเงินที่เกิดขึ้นในคดีเซ็นทรัลแล็บ มีรายละเอียดซับซ้อนมาก เพราะมีเช็คจำนวนหลายร้อยใบ ที่คณะอนุฯ ต้องไปติดตามว่าไปอยู่ที่ไหนบ้าง และก็แปรสภาพเป็นเงินสด ทำให้ติดตามค่อนข้างยาก โดยเงินจำนวนนี้ยอมรับว่ามีส่วนหนึ่ง เข้าไปเกี่ยวข้องกับบริษัทเล่นหุ้นชื่อดังรายหนึ่ง แต่การจะต้องข้อกล่าวหากับบริษัทแห่งนี้ ก็คงทำไม่ได้ง่ายๆ เนื่องจากบริษัทแห่งนี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเซ็นทรัลแล็บโดยตรง แต่ในส่วนของบุคคลที่เป็นผู้นำเงิน เข้าไปเกี่ยวข้องกับบริษัทแห่งนี้ คงหนีไม่พ้นที่จะต้องถูกตั้งข้อหาในประเด็นเรื่องการฟอกเงิน” นางเสาวนีย์ ระบุ
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับบริษัทเล่นหุ้นชื่อดัง ที่ถูกระบุว่า เกี่ยวข้องกับคดีเซ็นทรัลแล็บ คือ กลุ่มปิคนิก โดยจากการติดตามข้อมูลเส้นทางการเงินที่เกิดขึ้นในโครงการนี้ พบว่า ภายหลังจากที่หน่วยงานราชการได้ จ่ายเงินค่าจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ ให้กับบริษัทเอกชนผู้ชนะการประมูลงานไปแล้ว เงินจำนวนนี้มีบางส่วนที่ถูกโอนเข้าไปในบริษัทอีกหนึ่ง ก่อนที่จะมีการตีเช็คหลายร้อยใบให้กับบุคคลคนหนึ่ง นำเงินไปขึ้นเช็คเป็นเงินสด ก่อนที่เงินจะหายไป แต่จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกทำให้คณะอนุฯ รับทราบว่า บุคคลที่นำเช็คมาขึ้นเงินสด รายนี้ ได้เงินจำนวนมากกว่า 4 ล้านบาท เข้าไปเล่นหุ้นโดยผ่านกลุ่มปิคนิกอีกครั้ง