xs
xsm
sm
md
lg

ถอดบทเรียนเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง “สมุทรสาคร-ฉะเชิงเทรา” ฝ่าความท้าทายอย่างไรให้อยู่รอด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ความอยู่รอดของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง จากเดิม “กุ้ง” เคยเป็นสินค้าแชมเปี้ยนที่สร้างรายได้ให้ประเทศ แต่ภายหลังเผชิญความท้าทายหลายอย่าง โดยเฉพาะโรคระบาด จนทำให้ปริมาณการเลี้ยงลดลง สวนทางกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น แล้วจะมีหนทางรอดอย่างไร มาเป็นเครื่องยืนยันว่าเกษตรกรจะรักษาวิถีชีวิตนี้ไว้ ไม่ทิ้งอาชีพไป

“สนิท แดงพยนต์” ประธานกลุ่มเกษตรกรทำประมงพัฒนาเกษตรพอเพียง 49 อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร เล่าว่า ในกลุ่มฯ สมาชิกทั้งหมด 293 ครัวเรือน มีทั้งเกษตรกรเลี้ยงกุ้ง ปลาชนิดต่างๆ เช่น ปลากระพง ปลาสลิด และปลานิล

“ต้องยอมรับว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัย ต้นทุนการเลี้ยง โรคระบาด และศัตรูกุ้ง แต่จุดที่สำคัญที่ทำให้เกษตรกรรักษาอาชีพการเลี้ยงกุ้งไว้ได้ คือ การปรับแนวทางการเลี้ยงแบบพัฒนา เป็นแนวทางหลักที่กลุ่มใช้”

การเลี้ยงกุ้งแบบพัฒนา คือ การจัดการและป้องกัน มีบ่อพักน้ำ บ่อตกตะกอน ก่อนถึงบ่อเลี้ยงกุ้ง เพื่อให้ฟาร์มมีความปลอดภัยจากศัตรูพืชและสัตว์รบกวน ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมน้ำก่อนปล่อยกุ้ง ฟาร์มจะใช้ผ้ากรองตาถี่ที่สามารถป้องกันได้ถึงไข่ปลาก็ไม่สามารถหลุดรอดเข้าฟาร์มไปได้ ซึ่งที่ผ่านมา อาจจะมีบางฟาร์มที่มีปลาหมอคางดำบ้างที่หลุดรอดเข้าไปแต่อยู่แค่ที่ในบ่อพักน้ำ แต่ก็ถือว่าไม่มาก ประเมินว่าไม่เกิน 10%

ฟาร์มพัฒนาจะปรับบ่อเลี้ยงเป็นบ่อขนาดไม่เกิน 3 ไร่ ช่วยให้เกษตรกรสามารถจำกัดความเสียหายได้ หากเสียหายก็ลงใหม่ ด้วยมีความเร็วรอบในการเพาะเลี้ยงแต่ละรอบสูง เลี้ยงได้ 3-4 รอบ/ปี

ดังนั้น หากเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ ต้องการจะดูแลฟาร์มกุ้งก็ต้องเพิ่มการลงทุนระบบการกรองน้ำเพิ่ม จากการใช้ประตูน้ำเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะต้องอาศัยเม็ดเงินลงทุนมากขึ้น เพราะบ่อกุ้งแบบธรรมชาติมีขนาดใหญ่ถึง 100 ไร่ แต่มั่นใจได้ว่าการกรองน้ำจะป้องกันความเสี่ยง ช่วยให้เกษตรกรมีผลผลิตที่แน่นอน ลดความเสียหายจากโรคระบาด ให้คงรักษาอาชีพเลี้ยงกุ้งไว้ได้

อีกด้านหนึ่ง “คนึง คมขำ” ประมงจังหวัดฉะเชิงเทรา ฉายภาพว่า เกษตรกรเผชิญความเสี่ยงด้านต้นทุนการเลี้ยงที่สูงขึ้น จากพลังงาน อาหาร และการใช้จุลินทรีย์บำบัด ขณะที่ราคาขายกุ้งไม่จูงใจ โดยราคาปัจจุบันสำหรับกุ้งขนาด 50 ตัวอยู่ที่ประมาณ 160–170 บาท เทียบกับเมื่อก่อนที่ 200 บาทขึ้นไป เทียบกับต้นทุนต่อกิโลกรัมอยู่ที่ใกล้เคียง 100 บาท จึงไม่จูงใจในการเลี้ยง ปัจจัยความท้าทายหลักของผู้เลี้ยงกุ้ง คือ เรื่องต้นทุน ไม่ใช่ปัญหาปลาหมอคางดำ

สถานการณ์ขณะนี้ ผู้ประกอบการในจังหวัดฉะเชิงเทราจึงได้พัฒนาสู่การทำฟาร์มขนาดใหญ่ ที่มีการลงทุนพัฒนาระบบการเลี้ยงที่มีความทันสมัยขึ้นมาก เช่น การใช้บ่อปูด้วยพลาสติก PE และการมุ้ง ป้องกันนก/ปู รวมถึงใช้ระบบการกรองน้ำ 2 ชั้นตั้งแต่บ่อพักถึงฟาร์ม เพิ่มความพิถีพิถันในการเลี้ยง จนส่งผลให้เกษตรกรสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ได้ถึง 800 -1,500 กก. ต่อไร่ หรือบางรายอาจจะสูงถึง 2,000 กก./ไร่

ดังนั้น แม้ว่าจะมีพื้นที่เลี้ยงเท่าเดิม ประมาณ 50,000–55,000 ไร่ เกษตรกรในจ.ฉะเชิงเทราก็สามารถรักษาอาชีพการเลี้ยงกุ้ง จนทำให้กุ้ง ได้รับการยกให้เป็นสินค้าหลักที่สร้างรายได้ให้กับจังหวัดฉะเชิงเทราได้ ด้วยกำลังการผลิตทั้งปี ปีละ 24,000 ตัน

อย่างไรก็ตาม บทบาทของภาครัฐ จำเป็นต้องเพิ่มการสนับสนุนด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการยกระดับการเลี้ยงให้ก้าวสู่ระบบกุ้งยั่งยืน หรือการเลี้ยงที่ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก มากกว่าการให้ความรู้อย่างเดียว














กำลังโหลดความคิดเห็น