CNA ของสิงคโปร์นำเสนอบทวิเคราะห์ ชี้ศูนย์กลางการหลอกลวงออนไลน์ในกัมพูชา ยังไม่หายไปไหน แม้นานาชาติร่วมกันกดดัน แต่ก็จับกุมกวาดล้างเฉพาะระดับ “เบี้ย” เพื่อสร้างภาพ นั่นเพราะแก๊งสแกมเมอร์เชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับรัฐบาล และสร้างเม็ดเงินถึงปีละประมาณ 6 แสนล้านบาท หากปราบปรามอย่างจริงจังเศรษฐกิจของประเทศย่อมเสี่ยงล่มสลาย
เว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์ CNA ของสิงคโปร์ ได้นำเสนอบทวิเคราะห์เรื่อง ศูนย์กลางการหลอกลวงกัมพูชาจะไม่หายไปไหน เผยแพร่เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยบทวิเคราะห์ดังกล่าวเขียนโดย นายนิรมาล โฆษ (Nirmal Gosh) นักเขียนอิสระ อดีตผู้สื่อข่าวต่างประเทศในสิงคโปร์ และเป็นกรรมการของโครงการริเริ่มระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ (Global Initiative Against Transnational Organized Crime หรือ GI-TOC)
บทวิเคราะห์ระบุว่า กัมพูชากำลังเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติให้จัดการกับขบวนการอาชญากรรมที่ทำให้ประเทศถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางของธุรกิจหลอกลวงระดับโลก หลังจากมีข้อกล่าวหาว่ากลุ่ม Prince Group เชื่อมโยงกับเครือข่ายหลอกลวง และกรณีนักศึกษาชาวเกาหลีใต้เสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยมในกัมพูชา
หลังจากนั้นก็มีการบุกค้นและการจับกุมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนดูเหมือนว่ารัฐบาลกัมพูชากำลังปราบปรามขบวนการหลอกลวงอย่างจริงจัง แต่ความจริงกลับซ่อนอยู่ภายใต้ภาพลวงตา เพราะแรงกดดันส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากภายในประเทศ แต่เป็นจากจีน สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้ ในขณะที่แรงจูงใจในกัมพูชายังค่อนข้างน้อย เนื่องจากอุตสาหกรรมหลอกลวงได้หยั่งรากลึกเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมือง
ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านก็กำลังเผชิญกับแรงกดดันเช่นกัน แต่ส่วนหนึ่งก็เต็มใจและส่วนหนึ่งก็จำเป็นต้องดำเนินการบางอย่าง กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาตินิยมของไทยเองก็เป็นแรงผลักดันเพิ่มเติม ขณะที่ความสัมพันธ์กับกัมพูชากำลังหันกลับไปสู่ความเป็นปรปักษ์กันอีกครั้งเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องพรมแดน
แรงกดดันเริ่มชัดเจนเมื่อสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรประกาศมาตรการคว่ำบาตรกลุ่ม Prince Group และ Huione Group เมื่อวันที่ 14 ต.ค. โดยระบุว่ากลุ่มบริษัทเหล่านี้เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ
ทั้งนี้ ตามการแจ้งเตือนของกระทรวงการคลังและกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ระบุว่า Prince Holding Group ดำเนินเนินธุรกิจหลายสิบแห่งใน 30 กว่าประเทศ และได้รับผลกำไรจาก "อาชญากรรมข้ามชาติมากมาย" รวมถึงการบังคับค้าบริการทางเพศ การฟอกเงิน การฉ้อโกง การพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ในระดับอุตสาหกรรม การทรมานและการขูดรีดแรงงานทาส
มาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวทำให้หลายประเทศรวมถึงสิงคโปร์และไต้หวันเริ่มอายัดหรือยึดทรัพย์สินเพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยที่อยู่ของนายเฉิน จื้อ ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท ซึ่งเป็นชาวกัมพูชาเชื้อสายจีน ขณะเดียวกัน Prince Group ก็ปฏิเสธความเกี่ยวข้องและยังไม่มีคำตัดสินว่ากลุ่มนี้กระทำความผิดตามกฎหมาย
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ประเทศไทยได้ส่งตัว นายเสอ จื้อเจียง มหาเศรษฐีชาวจีน-กัมพูชา ไปยังประเทศจีน เพื่อดำเนินคดีในข้อหาทำเว็บไซต์พนันผิดกฎหมายกว่า 200 แห่ง มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ และในเดือนตุลาคม ประเทศไทยได้เพิกถอนสัญชาติไทยของนายลียง พัต นักการเมืองชาวกัมพูชา เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเชื่อมโยงกับเครือข่ายหลอกลวง
ความโกรธแค้นในเกาหลีใต้ยังมุ่งเป้าไปที่ปัญหาการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ หลังจากนักศึกษาชาวเกาหลีใต้ถูกทรมานจนเสียชีวิตในกัมพูชา โดยมีรายงานว่าเป็นฝีมือของแก๊งอาชญากรรม กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้รายงานว่ามีรายงานชาวเกาหลีใต้สูญหายหรือถูกกักขังในกัมพูชา 330 กรณีในปีนี้ ณ เดือนสิงหาคม
สนามบินอินชอนถึงขั้นขึ้นป้ายเตือนประชาชนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะถูกล่อลวงด้วยงานเงินเดือนสูง ที่จะลงเอยด้วยการถูกกักขังและลักพาตัวในกัมพูชา
จับกุมแค่สร้างภาพ
แม้จะโดนคว่ำบาตรและมีข่าวการตรวจค้นจับกุมหลายกรณีเพิ่มเติมในกัมพูชา แต่อุตสาหกรรมการหลอกลวงในกัมพูชายังคงดำเนินต่อไป โดยที่หัวหน้าขบวนการรายใหญ่แทบจะไม่โดนแตะต้อง
ลินด์ซีย์ เคนเนดี ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยประจำกัมพูชาของโครงการพยานหลักฐาน (The Eyewitness Project) ระบุว่า ทุกครั้งที่มีปราบปรามครั้งใหญ่ เจ้าหน้าที่ก็มักจับได้เพียงกลุ่มเล็กหรือกลุ่มที่ไม่มีผู้คุ้มครอง โดยบางครั้งกลุ่มสแกมเมอร์รายใหญ่ก็เล่นละครกับเจ้าหน้าที่ยอมมอบ “ตัวเบี้ย” ให้จับ เพื่อสร้างภาพเท่านั้น
“ความเข้าใจของเราในขณะนี้คือ เหตุการณ์นี้ก็เหมือนกับทุกครั้งที่มีการปราบปรามครั้งใหญ่” เธอกล่าว “คุณกวาดล้างคนระดับล่าง กลุ่มเล็กๆ กลุ่มที่ไม่ได้รับการคุ้มครอง หรือเพียงแค่ขอให้ขบวนการสแกมเมอร์รายใหญ่ส่งคนระดับล่างๆ ที่ไม่มีความสำคัญอะไร ไปให้เจ้าหน้าที่จับ เพื่อการแสดงเท่านั้น”
ขณะที่ เจสัน ทาวเวอร์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสประจำประเทศไทยของ GI-TOC เห็นด้วย โดยบอกว่า พวกเขาขยับมากขึ้น เมื่อแรงกดดันจากนานาชาติเพิ่มสูงขึ้น แต่ในพื้นที่จริง ศูนย์กลางสแกมเมอร์ยังคงดำเนินการอยู่
นักการเมือง-รัฐบาลมีเอี่ยว
กัมพูชาถูกแทรกซึมโดยกลุ่มอาชญากรรมที่จัดตั้งขึ้นโดยชาวจีนเป็นหลัก และมีรายงานหลายฉบับชี้ว่ามีการเอื้อประโยชน์จากนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ
“การทุจริตที่แพร่หลาย การคุ้มครองที่มั่นใจได้จากรัฐบาล และการร่วมมือของผู้นำพรรคการเมือง ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การค้ามนุษย์กับอาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชายังคงอยู่ และเป็นอุปสรรคสำคัญในการปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว” รายงานของ Humanity Research Consultancy ในสหราชอาณาจักร ประจำเดือนพฤษภาคม 2568 ระบุ
ดัชนีความโปร่งใสปี 2567 ที่จัดทำโดยองค์กร Transparency International จัดให้กัมพูชาอยู่อันดับที่ 158 จาก 180 ประเทศ โดยได้คะแนนเพียง 21 จากเต็ม 100
ขณะที่รายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกา (TIP) ประจำปี 2568 จัดให้กัมพูชาอยู่ในเทียร์ 3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด และเรียกร้องให้รัฐบาลกัมพูชาสอบสวนและดำเนินคดีกับขบวนการการค้ามนุษย์ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง
บทวิเคราะห์นี้ยังชี้ว่า ประชาชนกัมพูชาหลายพื้นที่ต้องพึ่งพารายได้จากศูนย์กลางสแกมเมอร์ ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถ ร้านค้า บริการส่งอาหาร และธุรกิจรอบข้าง
ส่วนผู้ที่ต่อต้านหรือเปิดเผยเรื่องราวอาชญากรรมเหล่านี้ต่างตกอยู่ในความเสี่ยง นักข่าวที่รายงานข่าวเกี่ยวกับสถานที่หลอกลวงทางไซเบอร์ต้องเผชิญกับการข่มขู่และจับกุม
แน่นอนว่าข่าวร้ายดังกล่าวทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องตั้งรับ และพยายามบ่ายเบี่ยง โดยระบุว่าเหตุการณ์ส่วนใหญ่เป็นฝีมือเครือข่ายต่างชาติผิดกฎหมาย และผู้ประกอบการท่องเที่ยวยังปลอดภัย
หลังจากที่เกาหลีใต้เตือนประชาชนไม่ให้เดินทางไปยังบางพื้นที่ในกัมพูชา นายฮวด ฮัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวของกัมพูชา กล่าวว่า เขาขอรับประกันความปลอดภัยและความมั่นใจของนักท่องเที่ยว โดยระบุว่าการหลอกลวงทางออนไลน์นั้นเกิดขึ้นในพื้นที่เฉพาะ และส่วนใหญ่เกิดจากเครือข่ายอาชญากรรมต่างชาติ
กระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชาแถลงเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนรวม 4.3 ล้านคน ลดลง 8.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน การลดลงนี้อาจไม่ได้เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับการหลอกลวงและการค้ามนุษย์เพียงอย่างเดียว อาจเกี่ยวข้องกับการสู้รบกับไทยช่วงปลายเดือนกรกฎาคมด้วย
กัมพูชากำลังใช้ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนกับไทยเป็นทั้งเครื่องมือเบี่ยงเบนประเด็นจากปัญหาสแกมเมอร์ และเป็นช่องทางปลุกกระแสรักชาติ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีความเสี่ยงที่รัฐกัมพูชาจะถูกมองว่าไม่สามารถปกป้องอธิปไตยได้ดีพอ ขณะเดียวกันความไม่พอใจต่อศูนย์สแกมเมอร์ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการโดยชาวจีน และความไม่พอใจต่อไทย อาจกลายเป็นสองแรงบวกที่กดดันใส่รัฐบาลกัมพูชาจนอยู่ในสถานะสุ่มเสี่ยงได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดอาจเป็นขนาดของอุตสาหกรรมหลอกลวงในกัมพูชา ธนาคารโลกประมาณการว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)ของกัมพูชาในปี 2567 อยู่ที่ 46,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่รายงานของสถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ที่เผยแพร่ในเดือนพฤษภาคม 2567 ประเมินว่ามูลค่าต่อปีของอุตสาหกรรมหลอกลวงในกัมพูชาอยู่ระหว่าง 12,500 - 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าอุตสาหกรรมการหลอกลวงขยายตัวอย่างมากและเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของกัมพูชา รวมทั้งมีการสมรู้ร่วมคิดอย่างลึกซึ้งจากหลายภาคส่วนของรัฐ จนส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ แม้เจ้าหน้าที่รัฐบางคนตั้งใจจะปราบปรามจริงจังแต่ก็ทำได้อย่างจำกัด เพราะหากมีการจับกุมดำเนินคดีหัวหน้าขบวนการสแกมเมอร์รายใหญ่ และกำจัดอุตสาหกรรมนี้อย่างจริงจัง ระบบเศรษฐกิจของกัมพูชาก็มีความเสี่ยงจะล่มสลายทันที
หลังจากนี้ ข่าวการกวาดล้างขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ในกัมพูชาจะยังคงมีอยู่เรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันแก๊งสแกมเมอร์ก็ยังคงปฏิบัติการหลอกลวงเหยื่อต่อไปเช่นเดิม.


