xs
xsm
sm
md
lg

วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส DPU เปิดหลักสูตร “การวิจัยทางคลินิกของยาสมุนไพร” ยกระดับสมุนไพรไทยสู่มาตรฐานสากล สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพของประเทศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



อุตสาหกรรมสมุนไพรไทยกำลังขยายตัวต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ “การวิจัยทางคลินิก” กลายเป็นประเด็นสำคัญในการยกระดับมาตรฐานและสร้างความน่าเชื่อถือให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทยในเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ แม้ประเทศไทยจะมีภูมิปัญญาการใช้สมุนไพรที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน แต่การพัฒนางานวิจัยในมนุษย์ตามหลักสากลยังเป็นโจทย์สำคัญที่หลายภาคส่วนให้ความสำคัญมากขึ้น เพื่อผลักดันสมุนไพรไทยให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนานี้ วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส (CHW) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จึงจัดอบรมหลักสูตรระยะสั้น “การวิจัยทางคลินิกของยาสมุนไพร” ระหว่างวันที่ 5 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2568 สำหรับบุคลากรในอุตสาหกรรมสมุนไพร นักวิจัย และผู้ที่สนใจยกระดับงานวิจัยทางคลินิกให้ได้มาตรฐานสากล เน้นการเรียนรู้เชิงลึกทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ตั้งแต่การออกแบบการทดลอง การจัดการข้อมูล การประเมินผล ไปจนถึงจริยธรรมทางการวิจัย โดยได้รับเกียรติจาก ภก. ดร.สุชาติ จองประเสริฐ (รักษาการ) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข ผู้อำนวยการกองส่งเสริมงานคุ้มครองผู้บริโภค ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาเป็นวิทยากรถ่ายทอดองค์ความรู้

ดร.พท.คณิศร์ณิชา ชาญภา
• ต่อยอดภูมิปัญญาไทยด้วยงานวิจัยเชิงคลินิกมาตรฐานสากล

ดร.พท.คณิศร์ณิชา ชาญภา รองคณบดีฝ่ายการแพทย์แผนไทย วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และผู้อำนวยการ ดี ซักเซส คลินิกแพทย์แผนไทย เปิดเผยถึงการอบรมหลักสูตร “การวิจัยทางคลินิกของยาสมุนไพร” ผู้เข้าอบรมจะได้พัฒนาความรู้ครบทุกมิติ ตั้งแต่การออกแบบโครงการวิจัย การจัดทำเอกสารเพื่อขออนุมัติจริยธรรม การดำเนินการทดลอง การวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงการตีความผลวิจัยอย่างถูกต้อง ได้เรียนรู้การทำงานร่วมกันแบบทีมสหวิชาชีพ และเข้าใจแนวทางต่อยอดผลงานวิจัยไปสู่ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเชิงพาณิชย์ที่มีหลักฐานรองรับอย่างเป็นระบบ ที่มีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ที่ขับเคลื่อนสมุนไพรไทยสู่ระดับโลกด้วยข้อมูลจริงและความเป็นมืออาชีพด้านแพทย์แผนไทยเชิงวิจัย ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ DPU ในการยกระดับเศรษฐกิจสุขภาพของประเทศ

ทั้งนี้ จุดแข็งของประเทศไทยคือภูมิปัญญาสมุนไพรที่สั่งสมมายาวนานและถูกใช้จริงในระบบสุขภาพมาหลายชั่วอายุคน แต่ยังขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ทางด้านคลินิกที่เป็นระบบและเทียบเคียงมาตรฐานสากล จุดนี้จึงยังเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญ ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ที่ผ่านมา ดร.พท.คณิศร์ณิชา ได้ทำวิจัยในสัตว์ทดลองและงานวิจัยในมนุษย์ ครอบคลุมตั้งแต่งานวิจัยยาสมุนไพรรักษาอาการนอนไม่หลับ, หญ้านางแดงลดการสะสมแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด, ยาสมุนไพรรักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในชายไทยสูงอายุ, การทดสอบประสิทธิผลสมุนไพรไพลดำกับการรักษาอาการปวด และการวิจัยเปรียบเทียบระหว่างการนวดตอกเส้นกับ ยาเคมี (Diclofenac Gel) ในผู้ป่วยอาการปวดหลัง ทุกโครงการวิจัยเน้นการออกแบบกลุ่มสุ่มควบคุม (Randomized Controlled Trial, RCT) เพื่อให้ได้ข้อมูลเวชศาสตร์เชิงประจักษ์ (Evidence-based medicine) ที่สามารถอ้างอิงได้ในระดับสากล

“การทำวิจัยในคนท้าทายกว่าการทดลองในห้องปฏิบัติการหลายเท่า เพราะมนุษย์มีความแตกต่างทางพันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิต โภชนาการ สภาพแวดล้อม และสภาวะจิตใจที่หลากหลายมาก ดังนั้นคุณภาพของสารสกัดต้องมีความคงที่ และต้องมีการติดตามประสิทธิผล (Efficacy) ความปลอดภัย (Safety) และผลข้างเคียง (Side Effects) อย่างละเอียดเพื่อให้มั่นใจว่าสมุนไพรที่ใช้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพจริง อีกทั้งต้องมีระบบติดตาม (Monitoring System) ตามหลักการปฏิบัติการวิจัยทางคลินิกที่ดี (Good Clinical Practice, GCP) เพื่อความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์” รองคณบดีฝ่ายการแพทย์แผนไทย CHW กล่าว

ทุกโครงการต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน (Ethics Committee) ด้วยความละเอียดรอบคอบ ตั้งแต่การอธิบายวัตถุประสงค์ของการวิจัย ศึกษาความเสี่ยง ไปจนถึงการขอความยินยอมจากอาสาสมัคร (Informed Consent) นอกจากนี้ทีมวิจัยยังต้องประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ทั้งแพทย์แผนไทย แพทย์แผนปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ และนักสถิติ เพื่อให้เกิดการบูรณาการที่ครอบคลุมรอบด้าน


• โอกาสของสมุนไพรไทยในตลาดโลก เมื่อหลักฐานทางคลินิกรองรับอย่างชัดเจน

ดร.พท.คณิศร์ณิชา ระบุว่า สมุนไพรไทยมีศักยภาพสูงมากในการก้าวสู่ตลาดโลก เพราะประเทศไทยมีทั้งประวัติการใช้สมุนไพรที่ยาวนานหลายร้อยปีและความหลากหลายทางชีวภาพจากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ หากได้รับการสนับสนุนด้วยหลักฐานทางคลินิกที่ได้มาตรฐาน จะช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์สมุนไพรไทยจากภูมิปัญญาท้องถิ่น สู่ “ผลิตภัณฑ์สุขภาพเชิงวิทยาศาสตร์” ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล

สมุนไพรไทยสามารถสร้างโอกาสใหม่ใน สามตลาดหลักระดับโลก ได้แก่ 1.ตลาดเวชภัณฑ์สมุนไพร (Herbal Therapeutics Market) เช่น ยาห้าราก ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน ขิง ที่สามารถพัฒนาเป็นยาสมุนไพรระดับ Medical Grade ได้จริง 2.ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและอาหารฟังก์ชัน (Functional & Nutraceutical Market) สำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่เน้นสุขภาพเชิงป้องกัน และ 3.ตลาดสุขภาพและความงามที่เน้นเชิงพรีเมียม (Premium Wellness & Cosmetic Market) เช่นสมุนไพรไทยบางชนิด อย่าง มะขาม ขิง มะกรูด กระชาย สามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สปาและเครื่องสำอางระดับโลกได้

“เมื่อเราสามารถเชื่อมโยงภูมิปัญญากับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ ‘แพทย์แผนไทยเชิงวิจัย (Research-based Thai Traditional Medicine)’ จะกลายเป็นพลังสำคัญของประเทศในการสร้างเศรษฐกิจสุขภาพที่ยั่งยืน และ DPU จะเป็นหนึ่งในสถาบันที่ผลักดัน ‘ตลาดยาสมุนไพรไทยจากเส้นทางสายไหมสู่ตลาดโลก (TT-MED from the Silk Road to Global Market)’ ให้เกิดขึ้นจริงในอนาคต” ดร.พท.คณิศร์ณิชา กล่าวเสริม

• สร้างระบบวิจัยสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

เพื่อให้การวิจัยทางคลินิกสมุนไพรไทยสามารถขยับสู่มาตรฐานระดับโลก จำเป็นต้องมุ่งพัฒนาพร้อมกันใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1. การควบคุมคุณภาพสารสกัด ให้ได้มาตรฐานสากล เช่น Fingerprint Analysis และ Marker Analysis 2.การออกแบบการทดลองทางคลินิก โดยใช้สถิติและกลุ่มตัวอย่างที่มีความน่าเชื่อถือ 3.การเผยแพร่ผลงานวิจัย ผ่านวารสารนานาชาติและเวทีวิชาการ เพื่อสร้างการยอมรับในวงกว้าง และ 4.ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ–มหาวิทยาลัย–ภาคเอกชน เพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การปลูกสมุนไพร การผลิต ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ถึงมือผู้บริโภค ซึ่งแนวทางเหล่านี้จะช่วยให้สมุนไพรไทยสามารถเติบโตบนเวทีโลกได้ยั่งยืน






กำลังโหลดความคิดเห็น