"บิ๊กโจ๊ก" ร้องศาล รธน.หวังเขี่ยประธาน ป.ป.ช. พ้นจากคดีตัวเอง หวั่นถูกฟัน 2 คดีใหญ่ ยื่นบัญชีเท็จ-พัวพันเว็บพนัน
บิ๊กโจ๊ก พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ช่วงนี้ปั่นกระแสข่าวให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการฟ้องคนโน้นร้องคนนี้ แบบตีลูกระนาด
ล่าสุด บิ๊กโจ๊ก บุกเดี่ยวเข้าไปที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ยื่นให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจัดการกับนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช.โดยหยิบยกเหตุผลว่าตำแหน่งของนายสุชาติได้มาโดยมิชอบ อ้างว่ากระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 233 และกฎหมาย ป.ป.ช.
แม้บิ๊กโจ๊กจะอ้างเหตุผลซะสวยหรู ว่าหากองค์กรอย่าง ป.ป.ช.กระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญเสียเอง สังคมจะเกิดความเป็นธรรมได้อย่างไร
แต่เจตนาจริงๆ ของบิ๊กโจ๊ก เหตุผลแท้จริงที่คนรู้กันทั้งบางก็คือ บิ๊กโจ๊ก ต้องการลากให้นายสุชาติกลายเป็นคู่ขัดแย้งของตัวเองโดยตรง เพื่อว่านายสุชาติ จะได้ไม่สามารถร่วมประชุมวินิจฉัยคดีของบิ๊กโจ๊กได้
ตัวการที่ทำให้บิ๊กโจ๊กเกิดความร้อนรุ่มอย่างหนักก็คือ ในเดือนตุลาคมนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะมีวาระการประชุมคดีของบิ๊กโจ๊ก 2 คดีด้วยกัน
คดีแรกได้แก่ คดีบิ๊กโจ๊กยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ และต่อด้วยคดีร่ำรวยผิดปกติ จากที่มีปืนพกโผล่มาในครอบครองถึง 200 กระบอก มูลค่ากว่า 14 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะมีการประชุมเพื่อตัดสินโทษกันเลยว่าผิดหรือถูก
ซึ่งหากตัดสินว่าบิ๊กโจ๊กมีความผิดจริงล่ะก็ นอกจากบิ๊กโจ๊กจะต้องโทษคดีร่ำรวยผิดปกติแล้ว เขาจะต้องโดนคดีพ่วงมาด้วย ก็คือคดีให้การอันเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช.
โดยบิ๊กโจ๊กให้การเรื่องการครอบครองปืนถึง 200 กระบอกดังกล่าวไว้ว่า เขาได้เงินก้อนดังกล่าวมาจากการเป็นนายหน้าซื้อขายพระ ระหว่างเซียนพระชื่อ “เฮียอั้ง เมืองชล” กับอดีตผู้ว่าฯ คนหนึ่ง
ซึ่งคำให้การดังกล่าวน่าจะเป็นเท็จ เนื่องจากตัวอดีตผู้ว่าฯ เอง ให้การยืนยันต่อพนักงานสอบสวนไว้ว่า ตัวเขาซื้อขายพระกับเฮียอั้งเป็นเงินแค่หลักหมื่นเท่านั้น ไม่มีทางที่บิ๊กโจ๊กจะได้เงินค่านายหน้าเป็นจำนวนมากมายมหาศาลถึง 14 ล้านบาทไปได้
อีกคดีที่กรรมการ ป.ป.ช.จะประชุมกันในเดือนตุลาคมนี้เช่นกัน คือคดีที่บิ๊กโจ๊กพัวพันส่วยและฟอกเงินกับเว็บพนันออนไลน์เครือข่าย “เจ้าแม่มินนี่”
คดีนี้จะไม่ใช่การตัดสินเลยเหมือนคดีแรก แต่จะเป็นการลงมติว่า ป.ป.ช.จะรับ ไต่สวนหรือไม่ หรือจะส่งกลับให้พนักงานสอบสวนของฝ่ายตำรวจเป็นผู้ดำเนินคดี
บิ๊กโจ๊กเองคงเล็งเห็นแล้วว่า สถานการณ์ของเขาหนักหนาสาหัส เพราะเครือข่ายสายสัมพันธ์เก่าใน ป.ป.ช.ทั้งระดับกรรมการและระดับอนุกรรมการ กระจัดกระจายไปจากองค์กรปราบโกงนี่แทบไม่เหลือแล้ว
โดยเฉพาะนายสุชาติ ถือเป็นกรรมการที่บิ๊กโจ๊กเอื้อมไม่ถึงมาแต่ไหนแต่ไร จึงมีความเคลื่อนไหวสารพัดเพื่อเตะนายสุชาติให้หลุดจากวงจรคดี
อย่างเช่นการล่อลวงนายสุชาติให้ไปพบนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาถึงที่บ้าน แล้วบิ๊กโจ๊กก็แอบถ่ายคลิปวงสนทนาด้วยมือของตัวเอง ซึ่งไม่มีคนดีๆ สุภาพบุรุษที่ไหนเขาทำกัน
ทั้งนี้ ประเด็นล่าสุด ซึ่งบิ๊กโจ๊กยื่นร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญนั้น ส่อเค้าทำไปก็ไร้ค่า เพราะมีบทบัญญัติไว้แน่นอนอยู่แล้วว่าคนทั่วไปไม่สามารถยื่นร้องโดยตรงถึงศาลรัฐธรรมนูญได้ จะต้องเป็นการยื่นผ่านองค์กรต่างๆ ที่มีหน้าที่รับเรื่อง เพื่อผ่านเรื่องมาถึงศาลรัฐธรรมนูญอีกที
เพราะฉะนั้นการไปยืนร้องครั้งนี้ของบิ๊กโจ๊ก จึงน่าจะเป็นโมฆะ
ขณะเดียวกันในเรื่องของข้อเท็จจริงว่า นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ได้ขึ้นเป็นประธาน ป.ป.ช.อย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น เรื่องนี้ทางกรรมการ ป.ป.ช.เองก็ระมัดระวังอยู่แล้ว โดยสำนักกฎหมายของ ป.ป.ช.ตรวจสอบจนเป็นที่สิ้นสงสัยไปแล้วว่าองค์ประชุมแต่งตั้งนายสุชาติขึ้นเป็นประธาน ป.ป.ช.เป็นไปอย่างถูกต้องตาม มาตรา 8 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯ ปี 2561
แต่ที่บิ๊กโจ๊กอ้างกรรมการ ป.ป.ช.2 คนไม่มีอำนาจเนื่องจากครบวาระไปแล้ว และอยู่ในช่วงรักษาการจะลงมติเลือกประธาน ป.ป.ช.ไม่ได้ ที่จริงกรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 2 คนยังมีอำนาจสมบูรณ์ครบถ้วน จนกว่าจะได้กรรมการคนใหม่มาแทน
การลงมติที่นายสุชาติชนะนายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ 5 ต่อ 2 จึงเป็นมติที่ถูกต้อง
ยุทธวิธีทางกฎหมายของบิ๊กโจ๊ก จะมุ่งเน้นลากให้ผู้มีหน้าที่พิจารณาคดีของตัวได้กลายเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงทุกคนไป
ไม่ใช่นายสุชาติคนเดียวที่โดนตามราวี แต่ยังรวมถึง “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และตุลาการศาลปกครองสูงสุด ซึ่งกำลังพิจารณาคำร้องอุทธรณ์ไล่ออกบิ๊กโจ๊ก ล้วนแต่ถูกบิ๊กโจ๊กยื่นฟ้องร้องทั้งสิ้น
การหาความกับใครต่อใครแบบตีลูกระนาดของบิ๊กโจ๊ก ถึงที่สุดมันก็อาจจะย้อนมาเป็นหอกทิ่มแทงตัวเขาเองได้ในภายหลัง
หากคนที่ถูกฟ้องร้องเหล่านั้นลุยเอาผิดกลับเมื่อคดีสิ้นสุด มันจะกลายเป็นวิบากกรรมของคนชื่อ “โจ๊ก สุรเชชษฐ์”.