xs
xsm
sm
md
lg

นักเศรษฐศาสตร์แนะฟื้น "คนละครึ่ง" รอบใหม่ ใช้จ่ายถึงเกณฑ์ก่อน ถึงจะได้ส่วนลด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นักเศรษฐศาสตร์จากจุฬาฯ แนะโครงการคนละครึ่งรอบใหม่ ยุครัฐบาลอนุทินปรับเงื่อนไขการใช้จ่ายให้จูงใจซื้อเพิ่มเต็มที่ยกตัวอย่างจีนใช้จ่ายถึงเกณฑ์ก่อนถึงจะได้ส่วนลด และคูปองหมดอายุวันต่อวัน ไม่ใช้ก็หมดสิทธิ์ กระตุ้นให้ตัดสินใจเร็ว และใช้จ่ายเพิ่ม

วันนี้ (7 ก.ย.) ชาวเน็ตแชร์ข้อความจากเฟซบุ๊ก Athiphat Muthitacharoen ของ รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์ขับเคลื่อนความรับผิดชอบทางการคลัง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความหัวข้อ "ถอดบทเรียนจากงานวิจัย ก่อนทำ ‘คนละครึ่ง’ 2.0" หลังจากที่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล เตรียมพิจารณานำมาตรการร่วมจ่าย (Co-pay) อย่างโครงการคนละครึ่ง สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

สาระสำคัญระบุว่า โครงการร่วมจ่าย พิสูจน์แล้วว่าช่วยร้านค้าขนาดเล็กได้ดี แต่วันนี้รัฐบาลมีงบประมาณจำกัด หากไม่ใช้งบกลาง อาจมีงบกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เกิน 25,000 ล้านบาท และยังต้องเผื่องบประมาณรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกาอีก คำถามสำคัญคือ จะออกแบบมาตรการคนละครึ่งในครั้งนี้อย่างไร ให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้คุ้มค่าที่สุด ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำวิจัยเกี่ยวกับโครงการคนละครึ่ง โดยใช้ข้อมูลจาก LINEMAN Wongnai จึงขอถอดบทเรียนจากงานวิจัย ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบมาตรการคนละครึ่งครั้งนี้ ได้แก่

1. โครงการคนละครึ่ง ช่วยร้านค้าขนาดเล็กได้ชัดเจน ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับร้านที่ไม่ได้เข้าร่วม โดยเฉพาะในกลุ่มร้านขนาดเล็ก จุดแข็งของโครงการคือการขยายฐานลูกค้า ร้านค้าที่เข้าร่วมมีจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และแม้โครงการจะจบไปแล้ว ร้านเหล่านี้ยังคงขายดีต่อเนื่อง เพราะได้ลูกค้าประจำเพิ่มขึ้น

2. โครงการมีข้อจำกัดด้านการกระตุ้นการบริโภค ในมิติผลกระทบต่อการกระตุ้นการใช้จ่าย พบปรากฏการณ์ Crowd out (ศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง การใช้จ่ายหรือการลงทุนจากภาครัฐ ทำให้การลงทุนและการบริโภคของภาคเอกชนลดลง) อย่างชัดเจน ผู้เข้าร่วมโครงการใช้เงินกับร้านที่เข้าร่วมโครงการ และลดการซื้ออาหารจากร้านค้าที่ไม่ได้เข้าร่วมอย่างมีนัยสำคัญ เป็นการเปลี่ยนที่ซื้อ มากกว่าการเพิ่มยอดซื้อ ทำให้ค่าประสิทธิผล (MPC) ของการใช้จ่ายอยู่ที่ 0.4 นั่นคือ รัฐอุดหนุน 1 บาท ประชาชนนำไปใช้จ่ายเพียง 40 สตางค์ ใกล้เคียงกับการแจกเงินแบบทั่วไปไม่กำหนดเงื่อนไข

3. เงื่อนไขการใช้จ่าย คือหัวใจของประสิทธิภาพ โครงการ Co-pay ของรัฐบาลจีนคล้ายกัน แต่ได้ค่าประสิทธิผลสูงถึง 3.0 เหตุผลสำคัญคือ การออกแบบให้ต้องใช้จ่ายถึงเกณฑ์ก่อนถึงจะได้ส่วนลด และคูปองหมดอายุวันต่อวัน ไม่ใช้ก็หมดสิทธิ์ แนวทางนี้คล้ายกับคูปองรายวันที่ Shopee หรือ Lazada ใช้ เช่น “ลด 20% เมื่อซื้อขั้นต่ำ 200 บาท” ซึ่งเป็นแนวทางที่คนไทยคุ้นเคย กระตุ้นให้ตัดสินใจเร็ว และใช้จ่ายเพิ่ม เมื่อเปรียบเทียบกับคนละครึ่ง ที่ลด 50% ตั้งแต่บาทแรก และทยอยใช้ได้เรื่อยๆ ก่อนโครงการจะหมดอายุ อาจยังไม่สร้างแรงจูงใจให้เพิ่มการใช้จ่ายได้เต็มที่

"มองภาพใหญ่ของคนละครึ่ง 2.0 ข้อค้นพบเหล่านี้ชี้ว่า เงื่อนไขการใช้เงิน คือปัจจัยสำคัญต่อประสิทธิภาพนโยบาย คนละครึ่ง 1.0 ช่วยร้านค้าได้ดี แต่คำถามสำคัญคือ หากรอบใหม่ รัฐต้องการเน้นการกระตุ้นการบริโภคให้มากกว่าเดิม เราต้องกล้าออกแบบให้ตอบโจทย์มากขึ้น แม้อาจไม่สะดวกเท่าเดิม" รศ.ดร.อธิภัทร


กำลังโหลดความคิดเห็น