“หมอแล็บแพนด้า” โพสต์เตือนภัย "โรคมาลาเรีย" พบบ่อยตามชายแดน เผย "ยุงก้นปล่อง" คือพาหะหลัก พร้อมเตือนวิธีป้องกันที่ดีที่สุด
วันนี้ (7 ส.ค.) เพจ “หมอแล็บแพนด้า” หรือ ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ชื่อดัง ได้โพสต์อธิบายถึงโรคมาลาเรีย ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยตามเขตชายแดน โดยระบุว่า “เห็นมีข่าวทหารเริ่มเป็นมาลาเรีย ผมจะขอเล่าเรื่องราวของ โรคมาลาเรียให้ฟังนะครับ
จุดเริ่มต้นของโรคนี้ เริ่มจากเชื้อโรคที่ตัวมันเล็กมากๆ เล็กจนไม่เห็นด้วยตาเปล่า เชื้อนี้ก็คือ พลาสโมเดียม (Plasmodium) ซึ่งเป็นปรสิตเซลล์เดียว หรือที่เราเรียกว่า ‘โปรโตซัว’ นั่นเองครับ
โปรโตซัวตัวนี้มีหลายสายพันธุ์ แต่ตัวที่ร้ายกาจและสร้างปัญหาให้กับแถบบ้านเรามากที่สุด คือ พลาสโมเดียม ฟัลซิปารัม (Plasmodium falciparum) และพลาสโมเดียม ไวแวกซ์ (Plasmodium vivax) เชื้อพวกนี้มีการเจริญเติบโตแปลงร่างได้หลายระยะ แต่ละระยะก็จะมีชื่อเรียกเฉพาะของมัน
การเดินทางของมาลาเรีย: จากยุงสู่คน
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นที่ ยุงก้นปล่องตัวเมีย ไม่ใช่ยุงธรรมดาที่กัดเราทั่วไปนะครับ แต่เป็นยุงได้รับเชื้อมาลาเรียมาก่อน ยุงตัวนี้เปรียบเสมือนพาหะที่จะนำผู้ร้ายเข้ามาในร่างกายของเรา พอยุงก้นปล่องตัวเมียที่ติดเชื้อกัดเรา มันจะปล่อยผู้ร้ายตัวจิ๋ว หรือที่เรียกว่า สปอโรซอยต์ (Sporozoite) เข้าไปในกระแสเลือดของเราโดยตรง สปอโรซอยต์เหล่านี้จะเดินทางอย่างรวดเร็วไปยังเป้าหมายแรก นั่นก็คือ “ตับ” ครับ
ภารกิจแรกของผู้ร้าย: ยึดครองตับ
พอสปอโรซอยต์ไปถึงตับ มันก็จะเข้าไปซ่อนตัวและขยายพันธุ์อย่างเงียบๆ ภายในเซลล์ตับ ช่วงนี้ผู้ป่วยจะยังไม่มีอาการใดๆ เลยครับ เปรียบเหมือนผู้ร้ายกำลังซ่องสุมกำลังพลอยู่ภายในบ้านอย่างลับๆ ใช้เวลาประมาณ 7-10 วันในการขยายพันธุ์ พอได้กำลังพลมากพอแล้ว ผู้ร้ายที่ขยายพันธุ์แล้วซึ่งเราเรียกว่า มีโรซอยต์ (Merozoite) ก็จะออกจากตับและเข้าสู่กระแสเลือดอีกครั้ง เพื่อเดินทางไปสู่เป้าหมายต่อไป
การจู่โจมครั้งใหญ่: โจมตีเม็ดเลือดแดง
นี่คือช่วงที่โรคจะแสดงอาการออกมาให้เราเห็นอย่างชัดเจนครับ
เมื่อมีโรซอยต์เข้าสู่กระแสเลือด มันจะมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายที่สำคัญที่สุด นั่นคือ เม็ดเลือดแดงของเรา มีโรซอยต์จะบุกเข้าไปในเม็ดเลือดแดงและขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกออกและปล่อยมีโรซอยต์ตัวใหม่ๆ ออกมาเพื่อบุกเม็ดเลือดแดงอื่นๆ ต่อไป
การที่เม็ดเลือดแดงจำนวนมากถูกทำลายและแตกออกพร้อมๆ กันนี้เอง ทำให้เกิดอาการสำคัญของโรคมาลาเรีย คือ ไข้สูง หนาวสั่น และเหงื่อออก ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเป็นรอบๆ ทุกๆ 2-3 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อมาลาเรีย
ทำไมถึงไข้สูง หนาวสั่น? เพราะเมื่อเม็ดเลือดแดงแตก ร่างกายจะหลั่งสารกระตุ้นการอักเสบออกมา ทำให้มีไข้และหนาวสั่นคล้ายกับอาการไข้หวัดใหญ่
ทำไมถึงซีด? เพราะเมื่อเม็ดเลือดแดงถูกทำลายไปเรื่อยๆ ทำให้ร่างกายมีภาวะโลหิตจาง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการซีด อ่อนเพลีย และเหนื่อยง่าย
ความอันตรายที่แตกต่างกัน
มาลาเรียที่เกิดจากเชื้อ P. falciparum ถือว่าอันตรายที่สุด เพราะเชื้อชนิดนี้ชอบทำลายเม็ดเลือดแดงทุกช่วงอายุ ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรง และที่น่ากลัวกว่านั้นคือ เม็ดเลือดแดงที่ติดเชื้อจะเหนียวและเกาะติดกัน ทำให้ไปอุดตันตามเส้นเลือดเล็กๆ ในอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น สมอง ไต หรือปอด มาลาเรียขึ้นสมอง จึงเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุดและอาจทำให้เสียชีวิตได้
ส่วนมาลาเรียจากเชื้อ P. vivax ถึงแม้จะอันตรายน้อยกว่า แต่ก็มีลักษณะพิเศษคือเชื้อบางส่วนสามารถไปซ่อนตัวอยู่ในตับได้นานเป็นเดือนเป็นปี และเมื่อมีโอกาสที่ร่างกายอ่อนแอลง เชื้อก็จะกลับมาโจมตีเม็ดเลือดแดงอีกครั้ง ทำให้เกิด ไข้มาลาเรียกำเริบ ได้ครับ
เหตุผลหลักที่ทหารตามแนวชายแดนมีความเสี่ยงติดเชื้อมาลาเรียสูงมาจาก 3 ปัจจัย คือ :
ทำเลที่ตั้ง: พื้นที่ชายแดนโดยเฉพาะในเขตจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ จันทบุรี และตราด ซึ่งมีพรมแดนติดกับกัมพูชา เป็นป่าเขา มีแหล่งน้ำ เหมาะแก่การแพร่พันธุ์ของยุงก้นปล่อง ซึ่งเป็นพาหะของโรค
ลักษณะงาน: ทหารต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เปิดโล่งช่วงพลบค่ำและรุ่งสาง ซึ่งเป็นเวลาที่ยุงออกหากิน ทำให้ถูกยุงกัดได้ง่าย
ที่พักอาศัย: ที่พักอาจเป็นค่ายชั่วคราวและมีสิ่งป้องกันยุงไม่เพียงพอ เช่น ไม่มีมุ้งกันยุง ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อขณะพักผ่อน
การหลีกเลี่ยงในการเป็นมาลาเรียที่ดีที่สุดก็คือ “การป้องกันไม่ให้ยุงกัด” นั่นเองครับ