ตามที่คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU)ได้เปิดการเรียนการสอนในหลักสูตร “สุดยอดการบริหารธุรกิจด้วยกฎหมายสำหรับผู้นำองค์กร” หรือ Super LBA (Super Legal Business Administration Leadership Program) รุ่นที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2568 โดยขณะนี้มีการจัดการเรียนรู้ใน Module 2 ภายใต้หัวข้อ “กฎหมายที่จำเป็นสำหรับขั้นตอนการประกอบธุรกิจ” นั้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ อนุสรณ์ อาคาร 6 ชั้น 7 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้จัดการบรรยายเพื่อยกระดับความเข้าใจด้านกฎหมายเชิงลึกสำหรับผู้บริหารและผู้นำองค์กร โดยเน้นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความเสี่ยงทางกฎหมาย ความรับผิดชอบของกรรมการและบริษัท กฎหมายแรงงาน ตลอดจนคดีผู้บริโภค ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารองค์กรยุคใหม่ให้มีประสิทธิภาพ
โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ นายสุรศักดิ์ วาจาสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ R&T Asia (Thailand) Limited, ผศ.ดร.วีระยุทธ ลาสงยาง คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ DPU, นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และ ผศ.ดร.วิมลเรขา ศิริชัยราวรรณ รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ DPU ร่วมแบ่งปันแนวคิดในการบูรณาการกฎหมายกับการบริหารองค์กร เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และมีความรับผิดชอบต่อสังคม
“ความผิดที่ไม่รู้ตัว กรรมการต้องรับผิดแค่ไหน?”
ในการบรรยายพิเศษหัวข้อ “กรณีกรรมการบริษัทและบริษัทกระทำความผิด: ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง” นายสุรศักดิ์ วาจาสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ R&T Asia (Thailand) Limited ได้ถ่ายทอดประสบการณ์จากคดีความจริงที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจ โดยกล่าวว่า ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เช่น การกรอกข้อมูลบัญชีผู้ถือหุ้นผิด หรือสำแดงราคาสินค้านำเข้าไม่ถูกต้อง อาจนำไปสู่การถูกดำเนินคดีอาญา ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปีต่อใบขน และอายุความนานถึง 15 ปี ส่งผลให้ธุรกิจต้องเผชิญความเสี่ยงทางกฎหมายที่ยืดเยื้อและรุนแรง
นายสุรศักดิ์อธิบายว่า กรรมการบริษัทมีความรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา หากดำเนินการเกินอำนาจ เช่น ลงนามในสัญญาค้ำประกันโดยบริษัทไม่ได้รับประโยชน์ หรือเพิกเฉยต่อการจัดประชุมผู้ถือหุ้น อาจถูกฟ้องร้องได้ แม้จะไม่ได้เป็นผู้ลงนามโดยตรงก็ตาม พร้อมยกตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ตัดสินให้กรรมการต้องร่วมรับผิด แม้เป็นเพียงกรรมการที่ไม่ได้บริหารโดยตรง หากละเลยหน้าที่ตรวจสอบสถานะทางการเงินของบริษัท
ในด้านการป้องกันมิให้ถูกฟ้องร้อง กรรมการผู้จัดการ R&T Asia (Thailand) Limited แนะนำว่า กรรมการควรตรวจสอบวัตถุประสงค์ของบริษัทและข้อบังคับอย่างละเอียดก่อนทำธุรกรรม และหากกิจการมีแนวโน้มขาดทุน ควรเรียกประชุมวิสามัญทันที รวมถึงจัดทำบันทึกการประชุมและมติอย่างรัดกุมเพื่อใช้เป็นหลักฐานกรณีมีข้อพิพาท พร้อมเตือนให้หลีกเลี่ยงการตั้งบริษัทที่อาจเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน และหากต้องการขายกิจการ ควรมีมติ “ปลดเปลื้องความรับผิดของกรรมการ” อย่างถูกต้องก่อนโอนหุ้น
ทั้งนี้ นายสุรศักดิ์ ได้เน้นว่า ปัจจุบันกฎหมายหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.ศุลกากรฯ ขยายขอบเขตไปสู่เรื่องทางธุรกิจมากขึ้น และในบางกรณีสามารถเอาผิดได้โดยไม่ต้องพิสูจน์เจตนา ทำให้กรรมการและผู้บริหารต้องตระหนักถึงความเสี่ยงทางกฎหมายอย่างรอบด้าน และไม่ควรลงนามในเอกสารสำคัญใด ๆ โดยไม่ศึกษาหรือปรึกษานักกฎหมายมืออาชีพก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ความเสียหายลุกลามจนส่งผลต่อทั้งบริษัทและตนเองในระยะยาว
“แรงงานไม่ใช่เรื่องเล็ก เมื่อกฎหมายกลายเป็นกับดักองค์กร”
ด้าน ผศ.ดร.วีระยุทธ ลาสงยางอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ DPU ให้ความเห็นในการบรรยายหัวข้อ “ปัญหากฎหมายแรงงานกับการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กร” ว่า กฎหมายแรงงานถือเป็นประเด็นสำคัญขององค์กร เนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิของลูกจ้างและความรับผิดของนายจ้าง ทั้งยังเป็นกฎหมายที่มีบทกำหนดโทษทั้งทางแพ่งและอาญา หากดำเนินการผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อองค์กรได้
“ยกตัวอย่างกรณีการเก็บเงินประกันของลูกจ้างที่ไม่แยกบัญชีตามชื่อพนักงาน ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนประกาศของกระทรวงแรงงาน และอาจนำไปสู่โทษทางอาญา โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานจำนวนมากและยอดเงินประกันรวมสูงถึงหลักสิบล้านบาท หากไม่มีการจัดการอย่างถูกต้อง ก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงทางกฎหมายที่รุนแรงได้” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ DPU กล่าว
ในส่วนประเด็น “นิติสัมพันธ์” ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ผศ.ดร.วีระยุทธ ชี้ว่า เป็นจุดที่หลายองค์กรมักเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยเฉพาะกรณีการจ้างที่ปรึกษาหรือ outsource ซึ่งแม้ในสัญญาจะระบุว่าเป็น “จ้างทำของ” แต่ในทางปฏิบัติหากผู้รับจ้างต้องทำตามกฎระเบียบบริษัท มีการควบคุมสั่งการ หรือทำหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตโดยตรง ศาลอาจตีความว่าเป็น “จ้างแรงงาน” ซึ่งจะอยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานทันที
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการต่อสัญญากับพนักงานที่เกษียณอายุว่า กฎหมายไทยไม่ได้ห้ามการจ้างงานต่อทันทีหลังเกษียณ หากเป็นความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย และไม่มีข้อกำหนดใดที่กำหนดให้ลูกจ้างต้องหยุดพักก่อนจึงจะสามารถกลับมาทำงานได้ ซึ่งกรณีนี้สะท้อนความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนระหว่างมาตรฐานสากลกับกฎหมายไทย
ผศ.ดร.วีระยุทธ ทิ้งท้ายด้วยว่า องค์กรควรตระหนักถึงความสำคัญของกฎหมายแรงงานและควรมีผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาทางกฎหมายเข้ามาช่วยตรวจสอบสัญญา ข้อบังคับการทำงาน และกระบวนการบริหารทรัพยากรบุคคลอย่างรอบด้าน เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจนำไปสู่การฟ้องร้อง พร้อมเน้นว่า “ความรู้ทางกฎหมายไม่ใช่ภาระของฝ่ายกฎหมายเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องเข้าใจ เพื่อบริหารความเสี่ยงขององค์กรให้มั่นคง”
เมื่อรัฐต้องปกป้องผู้บริโภคจากตลาดที่เปลี่ยนไป
สำหรับในช่วงสุดท้ายของการเรียนการสอนเป็นการเสวนาเรื่อง “บทบาทธุรกิจต่อผู้บริโภค: กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค” โดย นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และ ผศ.ดร.วิมลเรขา ศิริชัยราวรรณ รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ DPU ร่วมเสวนา
โดยนายรณรงค์ เปิดเผยว่า สคบ.มีหน้าที่ทั้งในการรับเรื่องร้องทุกข์ เจรจาไกล่เกลี่ย และดำเนินคดีตามกฎหมายในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิผู้บริโภค พร้อมทั้งมีอำนาจในการกำกับดูแลธุรกิจบางประเภท เช่น ขายตรงและตลาดตรง ซึ่งต้องจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ได้ยกตัวอย่างกรณีปัญหารถยนต์ EV จากจีน ที่มีผู้บริโภคร้องเรียนเรื่องบริการหลังการขาย และการลดราคารถยนต์หลังลูกค้าซื้อรถแล้ว ว่าเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการตรวจสอบต้นทุนจริงเพื่อพิจารณาความเป็นธรรม ทั้งนี้หากการเจรจาไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ อาจต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“อีกกรณีสำคัญคือ “The iCon” ซึ่งเคยขอจดทะเบียนขายตรงกับ สคบ. แต่ภายหลังตรวจสอบพบว่าไม่ได้ดำเนินกิจการตามที่จดแจ้งไว้ จึงถูกเพิกถอนทะเบียน โดยเลขาธิการ สคบ.ย้ำว่า ข้อกล่าวหาเรื่องแชร์ลูกโซ่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมระบุว่าในอนาคตอาจมีการออก พ.ร.บ.ใหม่เพื่อควบคุมลักษณะธุรกิจดังกล่าวโดยเฉพาะ” เลขาธิการ สคบ.กล่าว
นอกจากนี้ยังมีการหยิบยกประเด็นโฆษณาเกินจริงโดยดาราหรืออินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งหากมีผู้บริโภคร้องเรียนว่าสินค้าไม่เป็นไปตามที่โฆษณาไว้ สคบ.สามารถตรวจสอบได้ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 โดยต้องอาศัยความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการวินิจฉัยความผิดกรณีสินค้าเป็นยา อาหาร หรืออาหารเสริม
สำหรับปัญหาการไม่โอนกรรมสิทธิ์ส่วนกลางในหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งพบได้บ่อยในหมู่บ้านหลายแห่งทั่วประเทศ นายรณรงค์ได้แนะนำว่า ผู้บริโภคสามารถรวมกลุ่มและยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงานเขตหรือศูนย์ดำรงธรรมในพื้นที่ได้ โดย สคบ.จะเข้าไปมีบทบาทตั้งแต่ขั้นเจรจาจนถึงการส่งเรื่องต่อศาล อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคทุกคนมีสิทธิร้องเรียนได้ไม่ว่าความเสียหายจะมากหรือน้อย หากเข้าองค์ประกอบตามกฎหมาย สคบ.จะพิจารณาและดำเนินการให้ตามขั้นตอนอย่างเป็นธรรม