ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กตั้งคำถามแรงถึงโครงการ "แลนด์บริดจ์ระนอง-ชุมพร" เมกะโปรเจกต์ที่รัฐบาลคุยโว ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ แต่ความคืบหน้ายังคลุมเครือ จี้ถามนี่คือ "ฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง" หรือไม่? พร้อมทวงถามรัฐบาลต้องให้คำตอบอย่างจริงใจ ไม่ใช่วาทกรรมลอยลม
วันนี้ (7 ก.ค.) ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก “ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ - Dr.Samart Ratchapolsitte” ในประเด็นแลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร เปรย หรือเรากำลังรอฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง โดยอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ระบุข้อความว่า
"แลนด์บริดจ์ ระนอง-ชุมพร
หรือเรากำลังรอ “ฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง”?
“แลนด์บริดจ์” คำสั้นๆ ที่ฟังดูยิ่งใหญ่ ราวกับจะเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์ของการขนส่งโลก พลิกแผ่นดินภาคใต้ให้กลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับสากล ขนส่งสินค้าจากมหาสมุทรอินเดียไปสู่แปซิฟิกโดยไม่ต้องอ้อมช่องแคบมะละกา และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศสู่ภาคใต้ของไทย
นับตั้งแต่การเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการเมื่อหลายปีก่อน “แลนด์บริดจ์ระนอง-ชุมพร” เป็นหนึ่งใน “เมกะโปรเจกต์” ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เราได้รับฟังคำอธิบายถึงศักยภาพมหาศาลของแลนด์บริดจ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่การจ้างงาน การสร้างมูลค่าเพิ่ม และการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค
รัฐบาลคุยว่ามี “นักลงทุนต่างชาติหลายราย” แสดงความสนใจเข้าร่วมพัฒนาโครงการในรูปแบบ PPP (Public-Private Partnership) ว่าแต่...ใครคือ “นักลงทุนต่างชาติหลายราย” ที่ว่า? หรือว่าคำว่า “สนใจ” ที่รัฐบาลใช้ หมายถึงเพียงแค่มีต่างชาติเข้ามาดูพาวเวอร์พอยต์ แล้วบอกว่า "อืม ก็น่าสนใจดี?”
ถึงวันนี้ คำถามที่สังคมต้องการคำตอบอย่างจริงจังคือ “โครงการคืบหน้าไปถึงไหน?” จะเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้หรือไม่? กล่าวคือ รัฐบาลประกาศอย่างชัดเจนว่าจะเปิดประมูลได้ในช่วงปลายปี 2568 และมีกำหนดเริ่มก่อสร้างเฟสแรกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2569 โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการเฟสแรกได้ในปลายปี 2573
แผนดูทะเยอทะยาน และเต็มไปด้วยคำสัญญา แต่คำถามสำคัญคือ เราจะเดินไปถึงตรงนั้นได้จริงหรือไม่?
แลนด์บริดจ์ไม่ควรเป็นเพียงวาทกรรม เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคือความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และภูมิรัฐศาสตร์ระดับภูมิภาค หากทำได้ มันคือหมุดหมายใหม่ของความเจริญ แต่หากทำไม่ได้ มันอาจเป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่าประเทศไทยยังไม่หลุดพ้นจากกับดักแห่งวาทกรรม
ในบริบทของเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องการทั้ง “วิสัยทัศน์ที่ยั่งยืน” และ “การดำเนินงานที่มีความต่อเนื่อง” มิฉะนั้นจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นทั้งของประชาชน และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐบาลจะต้องให้คำตอบอย่างจริงใจ และนำพาแลนด์บริดจ์ “ระนอง-ชุมพร” ออกจากแผ่นกระดาษสู่การพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมเสียที?"