รายงานพิเศษ
อ่านประกอบ : EP.1 แหล่งอาหาร แหล่งเกษตรกรรม อยู่ร่วมกับอุตสาหกรรมจีนเทาไม่ได้
“หยุดยกปราจีนให้ทุนจีน”
ข้อความนี้ ถูกใช้เป็นหัวใจหลักในการสื่อสารของเครือข่าย “ปราจีนเข้มแข็ง” หรือกลุ่มภาคประชาชนที่ออกมาขับเคลื่อนคัดค้านการขยายพื้นที่ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) จากพี้นที่ 3 จังหวัด คือ ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา มายัง จ.ปราจีนบุรี
ทำไมภาคประชาชนในปราจีนบุรี จึงเชื่อว่า อุตสาหกรรมที่จะมายังปราจีนฯพร้อม EEC คือ ทุนจีน ??
“โรงงานจีน มาปักหลักอยู่ที่ปราจีนบุรีอยู่แล้วตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่าสร้างปัญหาอย่างมากในเรื่องกากอุตสาหกรรมและมาตรฐานโรงงาน ปัจจุบันยังมีนิคมอุตสาหกรรมย่อทอง 33 ที่กบินทร์บุรี เป็นโรงงานจีน 100% ... ส่วนขยายของสวนอุตสาหกรรม 304 ก็เป็นโรงงานจีน ... ยังไม่รวมที่มาเปิดนอกนิคมอย่างที่ ต.หนองหอย อ.ศรีมหาโพธิ ที่ขออนุญาตและขยายพื้นที่ไปทำนอกเหนือใบอนุญาตให้เปิดเป็นโรงงานย่อย และพบการลักลอบนำเข้ากากอุตสาหกรรมและการทิ้งอย่างผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก รวมถึงกรณีที่มีคนไทยไปซื้อที่ดินเปิดเป็นโกดังให้จีนมาเช่าทั้งที่ดินและใบอนุญาตทำโรงงาน 105 (คัดแยกขยะ) และ 106 (รีไซเคิล) ซึ่งพอไปตรวจสอบก็เจอกากของเสียอันตรายทั้งพลาสติกและอิเล็กทรอนิกส์ที่ลักลอบนำเข้ามาเต็มไปหมด”
สุนทร คมคาย ประธานอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน อ.กบินทร์บุรี หนึ่งในแกนนำเครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง ยกปรากฏการณ์ต่างๆมาอธิบายให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า อุตสาหกรรมที่จะเข้ามาเพิ่มอีกเป็นจำนวนมากหากปราจีนฯกลายเป็นพื้นที่ EEC ก็คือ กลุ่มโรงงานจากทุนจีน
สุนทร ยังอ้างถึงคำพูดของเลขาธิการ EEC ที่กล่าวไว้ในเวทีรับฟังความคิดเห็นด้วย โดยระบุว่า กลุ่มนักลงทุนใน EEC เป็นโรงงานไทย 37% ... จีน 18% รองลงมาเป็นไต้หวันและฮ่องกง
“จีน ไต้หวัน ฮ่องกง เท่าที่เราเจอมาเกือบทั้งหมดเป็นทุนจีน ส่วนที่บอกว่า 37% เป็นนักลงทุนไทย เราก็เชื่อว่า มีมากกว่าครึ่งเป็นนอมินีให้ทุนจีน อย่างที่เราเห็นอยู่แล้วในปราจีนฯตอนนี้ ว่าโรงงานจีนส่วนหนึ่ง มาจากการขอใบอนุญาตของคนไทย และส่วนหนึ่ง เช่าต่อจากคนไทย”
เมื่อพูดถึง “กระบวนการรับฟังความคิดเห็น” ในการจะนำปราจีนบุรีเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัด EEC สุนทร คมคาย ระบุว่า ที่ผ่านมา ยังไม่เคยจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนโดยตรงเลยแม้แต่ครั้งเดียว มีเพียงเวทีรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานต่างๆในภาครัฐ ส่วนเวทีภาคประชาชนถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดเมื่อมีภาคประชาชนเริ่มออกมาคัดค้าน และไปเปลี่ยนรูปแบบการรับฟังเป็นอีกรูปแบบหนึ่งแทน
“4 เวทีแรก ถูกจัดขึ้นใน 4 อำเภอ โดยเชิญเฉพาะข้าราชการในหน่วยงานของรัฐองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้แทนชาวบ้านอย่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเข้าร่วม แต่ไม่เชิญชาวบ้านเข้าร่วมครับ” สุนทร เริ่มเล่าบรรยากาศของการรับฟังความเห็น
“ผมพยายามเข้าไปร่วมเวทีที่จัดที่ อ.กบินทร์บุรี และได้เห็นว่า เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ให้ผู้ว่าฯปราจีนฯ เป็นผู้บรรยายถึงข้อดีในการเข้าร่วม EEC เพื่อให้ข้าราชการและผู้นำท้องถิ่นเห็นดีด้วย เมื่อผู้ว่าฯพูดจบก็เหลือเวลาอีกเพียงเล็กน้อยสำหรับการจัดรับฟังความเห็นกลุ่มย่อย โดยมีทีมวิจัยจากสถาบันการศึกษาที่รับหน้าที่ที่ปรึกษาโครงการมาสอบถามผู้เข้าร่วมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“ต่อมา ก็มีเวทีใหญ่ที่ศาลากลางจังหวัด วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ซึ่งมีเลขาธิการ EEC มาพูดถึงเฉพาะข้อดีอีกเช่นกัน และจัดเป็นรูปแบบคล้ายเวทีเสวนาโดยเชิญกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยว สภาหอการค้า สภาเกษตรกร มาพูด .... เวทีนี้ พวกเราฝ่ายคัดค้านพยายามเข้าไปแสดงความเห็นด้วย โดยพวกเราได้พูดถึงปัญหาที่เราเจอมารวม 4 คน ในเวลารวมกันประมาณ 10 นาทีเท่านั้น ระหว่างพูดก็ถูกตั้งคำถามตัดบทตลอด พร้อมสรุปเองโดยเลขาธิการ EEC ว่า ปัญหาจากโรงงานจีน เป็นปัญหาที่คนปราจีนฯได้รับผลกระทบอยู่แล้วถึงแม้จะไม่เข้า EEC”
หลังผ่านเวทีรับฟังความเห็นที่ศาลากลางจังหวัด ตามกำหนดการเดิมจะต้องมาถึงคิวการเวทีรับฟังความเห็นของภาคประชาชนกระจายลงไปในแต่ละอำเภอ แต่ปรากฎว่า เวทีรับฟังประชาชน ไม่ได้ถูกจัดขึ้น และถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
“ช่วงนั้น มีข้อความแชตทางกลุ่มไลน์ของหน่วยราชการในจังหวัดหลุดออกมาครับ เป็นข้อความในลักษณะที่ว่า จะจัดเวทีรับฟังความเห็นโดยไม่แจ้งให้ชาวบ้านรับรู้ เมื่อเราไปถามหน่วยราชการระดับอำเภอ ก็ต่างพากันปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องนี้ ... แต่เวทีก็ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดและยังไม่ได้จัดมาจนถึงวันนี้ ... ในขณะเดียวกัน ก็มีข่าวว่า ผู้ว่าฯปราจีนฯ มีคำสั่งแต่งตั้งคนจีนมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาผู้ว่าฯ ... เราจึงยกขบวนผู้ชุมนุมไปขอพบผู้ว่าฯ แต่ก็ไม่ได้พบ ... จากนั้น ก็มารู้ในภายหลังว่า เขาเปลี่ยนรูปแบบการรับฟังความเห็นไป”
สุนทร เล่าต่อว่า มารู้ภายหลังว่าทีมวิจัยจากสถาบันการศึกษาซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบจัดกระบวนการรับฟังความเห็น ได้เปลี่ยนรูปแบบไปจัดการรับฟังเฉพะกลุ่ม เช่น ไปนัดคุยกับสภาหอการค้าจังหวัด ไปนัดคุยแยกกับสภาเกษตรกร ซึ่งเป็นรูปแบบที่ต้องตั้งคำถามว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะผลของการพูดคุยในรูปแบบนี้ “อาจถูกนำมาใช้อ้างในภายหลังได้ว่าตัวแทนกลุ่มอาชีพต่างๆของประชาชนในจังหวัด เห็นด้วยกับการเข้า EEC แล้ว”
เมื่อพูดถึงกระบวนการรับฟังความเห็นที่สุนทร เห็นว่า ประชาชนในพื้นที่แทบจะไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงเลย เขาจึงตั้งข้อสังเกตถึงสาเหตเหตุที่มีความพยายามอย่างมากที่จะผลักดันให้พื้นที่ EEC ขยายมายังมาปราจีนบุรีให้ได้ ทั้งที่ควรจะต้องรับฟังปัญหาและความกังวลในหลายประเด็นของชาวบ้านก่อน
“แน่นอนว่า ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมจากโรงงานจีนจะเป็นปัญหาใหญ่ อีกปัญหาที่จะตามมาคือเรื่องแรงงาน เพราะทุนจีนนิยมใช้แรงงานต่างด้าว ไม่มีสหภาพแรงงาน ไม่มีสวัสดิการ มีปัญหาคุณภาพชีวิตที่แรงงานจำนวนมากต้องไปใช้ทรัพยากรในพื้นที่มาดำรงชีวิตแทน ดังนั้นจะมีอีกหนึ่งปัญหาที่คาดว่าจะตามมาแน่ๆ คือ การฮุบกิจการต่างๆในพื้นที่โดยรอบไปเป็นของทุนจีน”
“โรงแรมจีน บ้านพักคนงาน คอนโดมีเนียม ร้านอาหารของทุนจีน การเข้าซื้อและฮุบกิจการคือสิ่งที่จะตามมาอย่างแน่นอนหากปราจีนฯเป็นส่วนหนึ่งของ EEC ดังนั้นเราจึงขับเคลื่อนด้วยข้อความ หยุดยกปราจีนให้ทุนจีน”
“ถ้าถามว่า ใคร ยกปราจีนให้ทุนจีน ... เราบอกได้ว่า มีกลุ่มนายหน้าที่ดินซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มอิทธิพลได้จัดเตรียมที่ดินผืนใหญ่ๆไว้หลายผืนสำหรับรองรับการเข้ามาของอุตสาหกรรมจากทุนจีนแล้ว เช่นเดียวกับที่เราเห็นกันมาก่อนแล้วกับการเตรียมที่ดิน อาคาร และใบอนุญาตเอาไว้ให้โรงงานจีนเข้ามาเปิดกิจการ ดังนั้นคนกลุ่มนี้ก็ต้องพยายามผลักดันให้ EEC ขยายมายังปราจีนฯให้ได้ เพื่อที่ทำกำไรมหาศาลจากการขายที่ดินเหล่านี้”
“แต่ข้อมูลนี้ ก็ช่วยให้กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยอย่างพวกเรา ยังมีความเชื่อว่า จะหยุดยั้งการขยาย EEC มาที่ปราจีนฯได้ครับ เพราะเห็นได้ชัดว่า ความพยายามนี้ไม่ได้มาจากนโยบายของรัฐบาล แต่เป็นความพยายามของคนบางกลุ่มที่หวังจะได้ประโยชน์เท่านั้น” สุนทร กล่าวอย่างมั่นใจว่า จะหยุดยั้งโครงการนี้ได้
เครือข่าย ปราจีนเข้มแข็ง ตั้งเป้าหมายว่า ภายใน 3 เดือนนับจากนี้ จะจัดเวทีเพื่อชี้ให้เห็นข้อมูลด้านผลกระทบที่ไม่ถูกพูดถึงในเวทีของรัฐ เพื่อทำความเข้าใจกับชาวบ้าน และจะเชิญชวนชาวปราจีนบุรีร่วมลงชื่อคัดค้านการเข้า EEC ให้ครบ 1 หมื่นรายชื่อ เพื่อแสดงเจตจำนงค์อีกด้าน เพราะวกเขาไม่ได้รับเชิญและไม่สามารถเข้าร่วมเวทีรับฟังความเห็นที่หน่วยงานรัฐจัดขึ้นได้
“ทุกครั้งที่หน่วยราชการ หรือทาง EEC อธิบาย ก็จะบอกว่า ถ้าปราจีนฯเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ EEC ก็จะเจริญเติบโต จะเก็บภาษีได้มาก ถนนหนทางจะดีขึ้น ... ผมขอตั้งคำถามกลับว่า ทำไมจังหวัดอื่นๆอีกหลายจังหวัดที่ไม่ได้เป็นเมืองอุตสาหกรรม ไม่ได้เข้า EEC ถึงเจริญเติบโตได้ ถนนหนทางดี การจะมีถนนดี มันได้เกี่ยวกับ EEC แค่เลิกคอร์รัปชัน ถนนก็จะดีเอง” สุนทร ทิ้งท้าย