รายงานพิเศษ
"ศรีมหาโพธิ์คู่บ้าน ไผ่ตงหวานคู่เมือง ผลไม้ลือเลื่อง เขตเมืองทวารวดี" คำขวัญของจังหวัดปราจีนบุรี บ่งบอกถึงศักยภาพของเมืองเก่าแก่ในพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศไทยแห่งนี้ว่า เป็นเมืองที่มีจุดแข็งจากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ น้ำท่าบริบูรณ์ เหมาะสำหรับการทำเกษตรกรรม สามารถเป็นศูนย์กลางแหล่งความมั่นคงทางอาหารของประเทศไทยได้
แต่ ... ปราจีนบุรี กำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นเมืองอุตสาหกรรม เป็นพื้นที่เป้าหมายของการขยายโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) เพิ่มจาก 3 จังหวัดเดิม คือ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ... แต่นี่เป็นอุตสาหกรรมที่ชาวปราจีนบุรี “ไม่ไว้ใจ”
ตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จังหวัดปราจีนบุรี ตกเป็นข่าวในหน้าสื่อสารมวลชนที่ติดตามปัญหาเกี่ยวกับการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมและการจัดการโรงงานอุตสาหกรรมที่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่ อ.ศรีมหาโพธิและ อ.กบินทร์บุรี โดยโรงงานเกือบทั้งหมดที่มีปัญหา มีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับกลุ่มทุนจากประเทศจีน ทั้งการประกอบการไม่ตรงใบอนุญาต การขยายกิจการเกินกว่าใบอนุญาต การปล่อยให้เช่าที่ดินหรือโกดังมาทำโรงงานโดยไม่มีอนุญาต การลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ไปจนถึงการพบว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำมารีไซเคิลคือของเสียที่ลักลอบนำเข้ามาจากต่างประเทศ
“ขยะอิเล็กทรอนิกส์เต็มบ้าน อุตสาหกรรมเต็มเมือง เจ้าพ่อปราจีนบุรีลือเลื่อง เขตเมืองจีนบุรี” เป็นคำขวัญใหม่ของจังหวัดที่ถูกแต่งขึ้นโดยเครือข่ายภาคประชาชน เพื่อประชดประชันความพยายามของคนบางกลุ่มที่ผลักดันการขยายพื้นที่ EEC มายังปราจีนบุรี
“ถ้าการขยาย EEC มาบ้านเรา มีเป้าหมายคือ ต้องการความเจริญ เราก็มีคำถามว่า สิ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ EEC เดิม ทั้ง 3 จังหวัด คือความเจริญที่สำเร็จแล้วหรือไม่ .... เพราะสิ่งที่ชาวบ้านในเครือข่ายเพื่อนตะวันออกรับรู้มาตลอด คือ ชาวบ้านที่ทำเกษตรกรรมในพื้นที่ 3 จังหวัดของ EEC ได้รับความลำบากมาก แม้ว่าในพื้นที่เหล่านั้นจะมีผู้ประกอบการที่ดีอยู่ด้วยก็ตาม ... แต่ที่จะขยายมาปราจีนบุรี เรามั่นใจว่าจะเต็มไปด้วยผู้ประกอยการทุนจีนที่เข้ามาสร้างปัญหา”
ระตะนะ ศรีวรกุล ประธานสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ปราจีนบุรี จำกัด หนึ่งในแกนนำประชาชนที่คัดค้านการขยายพื้นที่ EEC ตั้งคำถามถึงเป้าหมายที่แท้จริงของโครงการนี้ เพราะมองว่า ความพยายามขยายพื้นที่ EEC มายังปราจีนบุรี ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะประสบความสำเร็จที่ 3 จังหวัดเดิม แต่เกิดจากปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขในพื้นที่ที่ทำอยู่แล้วได้ นั่นคือ การขาดแคลนแหล่งน้ำมารองรับภาคอุตสาหกรรม ไม่มีพื้นที่จัดการกับขยะอันตรายที่เกิดขึ้น และการแสวงหาผลประโยชน์ของกลุ่มนายหน้าที่ดินมากกว่า
“ในพื้นที่เดิมมีน้ำไม่พอแล้ว อ่างเก็บน้ำที่ระยองก็รองรับไม่พอ เราจึงคาดว่า เขาต้องการจะมาใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่ปราจีนฯ ซึ่งมีโครงการเตรียมสร้างแหล่งเก็บน้ำเพิ่มอีกหลายแห่ง นอกจากนี้ก็คิดว่าเขาจะเอาของเสียมาทิ้งที่ปราจีนฯ และที่สำคัญอีกข้อคือ การผลักดันของกลุ่มนายหน้าค้าที่ดินซึ่งเตรียมที่ดินแปลงใหญ่ไว้หลายแปลงเพื่อรองรับอุตสาหกรรม ... ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่การกระจายความเจริญ แต่เป็นการนำความเดือดร้อนมาตกอยู่กับคนปราจีนฯ ทั้งที่เรามีจุดแข็งคือเป็นพื้นที่แหล่งความมั่นคงทางอาหาร”
นอกจากการแย่งชิงน้ำ และปัญหาขยะอุตสาหกรรมที่จะตามมา ความเดือดร้อนที่ ระตะนะ กล่าวถึง ถูกวิเคราะห์ร่วมกันในนามเครือข่าย “ปราจีนเข้มแข็ง” ยังรวมไปถึงโอกาสที่ชาวบ้านจะสูญเสียที่ดินทำกิน โดยเฉพาะชาวบ้านที่อาศัยทำกินอยู่มรที่ราชพัสดุและที่ดิน สปก. เนื่องจากหากถูกประกาศเป็นพื้นที่ EEC ก็จะมีหลักเกณฑ์ให้สามารถนำที่ดินเหล่านี้ไปใช้ได้ และปัญหาใหญ่ที่สุดที่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการทำเกษตรกรรมของชาวบ้าน โดยเฉพาะเกษตรอินทรีย์ที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับอุตสาหกรรมหนักเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน
“ปราจีนฯ เป็นพื้นที่วัฒนธรรม เกษตร แหล่งอาหาร แหล่งท่องเที่ยว นี่เป็นมรดกที่สั่งสมมาตั้งแต่ปู่ย่าตายายของเรา ... อย่างกลุ่มเกษตรอินทรีย์ของเราก็ทำสมุนไพร ทำโรงครัวปลอดสารพิษส่งให้กับโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรมาโดยตลอด เราทำตลาดนัดสีเขียว ขายพืชผลปลอดสารพิษได้ราคาที่ค่อนข้างดี ชาวบ้านก็สามารถเลือกซื้อพืชผลที่ดีต่อสุขภาพได้ แต่ถ้าเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของ EEC ก็มั่นใจได้เลยว่า เกษตรอินทรีย์จะหายไปจากปราจีนฯ เพราะกลุ่มทุนที่เข้ามา จะเป็นทุนจีนเกือบ 100%”
“ปราจีนบุรี ก็จะเปลี่ยนไป เหลือเพียงแค่ จีนบุรี” ระตะนะ ย้ำด้วยเสียงหนักแน่น
ข้อมูลจาก มูลนิธิบูรณะนิเวศ เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ระบุว่า จังหวัดปราจีนบุรีมีผู้ถือใบอนุญาตโรงงานในกลุ่ม 105 (โรงงานคัดแยกขยะ/หลุมฝังกลบของเสียไม่อันตราย) ทั้งหมด 77 ใบอนุญาต อยู่ใน อ.ศรีมหาโพธิ 24 ใบ และใน อ.กบินทร์บุรี 38 ใบ ส่วนอีก 15 ใบกระจายอยู่ในอำเภออื่น ... ส่วนผู้ถือใบอนุญาตโรงงานประเภท 106 (โรงงานรีไซเคิล) มีทั้งสิ้น 61 ใบ อยู่ใน อ.ศรีมหาโพธิ 32 ใบ และใน อ.กบินทร์บุรี 25 ใบ ส่วนอีก 4 ใบกระจายอยู่ในอำเภออื่นๆ
มูลนิธิบูรณะนิเวศ ยังพบว่า มีผู้ถือครองใบอนุญาตโรงงานสองกลุ่มนี้เป็นบุคคลคนเดียวกันถือหลายฉบับ เนื่องจากมีการเปิดช่องให้บุคคลหนึ่งๆ สามารถถือครองใบอนุญาตกี่ฉบับก็ได้ ซึ่งทำให้มีกรณีที่ผู้ถือใบอนุญาตที่ไม่ได้ประกอบกิจการเอง และในพื้นที่ก็มีปรากฏการณ์ลักษณะธุรกิจค้าใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบการจากทุนจีนอยู่ด้วย
และนี่เป็นเหตุผลที่กลุ่มปราจีนเข้มแข็ง เชื่อว่า การขยาย EEC ก็คือ การเข้ามาของอุตสาหกรรมทุนจีนเกือบทั้งหมด
“ถ้าจะเปรียบเทียบที่ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา เขามีผู้ประกอบการส่วนหนึ่งที่มีความรับผิดชอบ อย่างโรงงานจากอเมริกาหรือญี่ปุ่น เขาก็ยังเจอปัญหาเลย ... แต่ที่ปราจีนฯ แม้ว่าเราจะยังไม่ถูกนับเข้าไปอยู่ใน EEC เราก็เจอปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างหนักจากผู้ประกอบการจีนแล้ว มีทั้งโรงงานจีนเทา โรงงานจีนเถื่อน มีทั้งโรงงานย่อยปล่อยให้เช่าเป็นโรงงานย่อยกันเอง มีทั้งคนไทยไปขอใบอนุญาตมาให้โรงงานจีนเช่า มีทั้งที่ปล่อยให้ทำโดยไม่มีใบอนุญาตเลยก็มี พอชาวบ้านร้องเรียนไป ก็มีเจ้าหน้าที่ไปสั่งปิด แล้วก็กลับมาเปิดกันต่อไปอีกโดยไม่เกรงกลัว นั่นทำให้เราไม่เชื่อมั่นในกลไกการกำกับดูแลของรัฐเลย” ระตะนะ ย้ำถึงความล้มเหลวของภาครัฐในการจัดการกับโรงงานทุนจีนที่เห็นได้อย่างชัดเจนมาตลอดในปราจีนบุรี
“เหตุผลที่เราเชื่อว่า หากปราจีนฯ ถูกประกาศรวมใน EEC จะมีแต่ทุนจีนที่เข้ามาลงทุน เพราะมันมีโรงงานจีนเทา จีนเถื่อน ที่ทำไว้เละเทะมาเปิดรออยู่ก่อนแล้ว ... ขอถามว่า เมื่อมันถูกทำให้เป็นชุมโจรไปแล้ว คนดีๆ ผู้ประกอบการดีๆที่ไหนเขาจะเข้ามาลงทุน”
“สุดท้ายคนในพื้นที่ดั้งเดิมก็จะค่อยๆถูกกวาดต้อนให้ออกไป อยู่ไม่ได้ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ขายที่ขายทางหนีไปเอง” ระตะนะ ทิ้งท้าย
ในเวทีรับฟังความคิดเห็นที่จัดขึ้นที่ศาลากลาง จ.ปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ... ระตะนะ ศรีวรกุล เป็นหนึ่งในแกนนำฝ่ายคัดค้าน EEC 4 คน ที่ได้แสดงความเห็นในที่ประชุม โดยทั้ง 4 คน ได้เวลาพูดรวมกันเพียงประมาณ 10 นาที กระบวนการรับฟังความคิดเห็นและการเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจจึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องจับตามอง
(ติดตามใน EP.2)