xs
xsm
sm
md
lg

“รศ.ดร.ภก.สุรพจน์” ชูสมุนไพรไทยติดท็อปตลาดโลก 8 ชนิด แนะเร่งวิจัยตำรับยาแผนไทย พร้อมปั้นนักศึกษา DPU สู่ผู้นำสุขภาพยุคใหม่ด้วยองค์ความรู้แพทย์แผนไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รศ.ดร.ภก.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ คณบดีวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ร่วมเสวนาออนไลน์กับ ดร.เสริมสุข สลักเพ็ชร์ กรรมการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร และประธานอนุกรรมการพิจารณาโครงการวิจัยด้านการเกษตร ในรายการ ARDA TALK ซึ่งจัดโดยสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live และช่อง YouTube: ardathailand เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ในหัวข้อ “สมุนไพรไทยในเวทีโลก : โอกาสทองของเกษตรกรไทย” ณ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)

รศ.ดร.ภก.สุรพจน์เปิดเผยว่า สมุนไพรไทยกำลัง “มาแรง แซงโค้ง” และมีศักยภาพสูงในการเติบโตทางเศรษฐกิจ หากได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มสมุนไพรที่ช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) (ต้านการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระ) เสริมภูมิคุ้มกัน แก้หวัด บำรุงตับ ป้องกันต่อมลูกหมากโต แก้เครียด ช่วยการนอนหลับ ช่วยระบายแก้ท้องผูก ลดน้ำตาล เสริมความจำ ช่วยลดไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล ลดความกระวนกระวาย ล้างพิษ และช่วยลดน้ำตาลในเลือด รวมถึงการใช้เป็นสารให้ความหวานชนิดแคลอรีต่ำเพื่อทดแทนน้ำตาล

“ปัจจุบันมีสมุนไพรไทยจำนวน 8 ชนิดที่ติดอันดับ Top 40 ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสมุนไพรในตลาดอันดับหนึ่งของโลกคือสหรัฐอเมริกา ได้แก่ ขมิ้นชัน ว่านหางจระเข้ น้ำมันมะพร้าว กระเทียม ส้มแขก หญ้าหวาน อบเชย และขิง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในระดับสากล ขณะเดียวกันประเทศไทยยังมีตำรับยาแผนไทยที่มีศักยภาพในการรักษาโรค NCDs อีกจำนวนมากที่รอการพัฒนาและยืนยันประสิทธิภาพผ่านงานวิจัยทางคลินิก การพัฒนาสารสกัด และการยกระดับวัตถุดิบสมุนไพรให้ได้คุณภาพมาตรฐาน” คณบดีวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส DPU กล่าว

ทั้งนี้ ตลาดสมุนไพรทั่วโลกมีมูลค่ารวมสูงถึง 6 ล้านล้านบาท โดยกว่า 80% ของตลาดอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยา รองลงมาคืออาหารเสริมประมาณ 12% และเครื่องสำอาง 8% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดหลัก คือผลิตภัณฑ์เพื่อการรักษา แต่ประเทศไทยยังมุ่งเน้นการพัฒนาเครื่องสำอางเป็นหลักถึง 54% และอาหารเสริม 31% ขณะที่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มยาสมุนไพรมีสัดส่วนเพียง 4% เท่านั้น


รศ.ดร.ภก.สุรพจน์กล่าวต่อว่า สำหรับเทรนด์สมุนไพรในอนาคตจะมุ่งไปที่ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ช่วยลดความเสี่ยงโรค NCDs สมุนไพรเพื่อชะลอวัยสำหรับผู้สูงอายุ และยาสมุนไพรในลักษณะตำรับที่ต้องผ่านการพิสูจน์ด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยอย่างชัดเจน ซึ่งงานวิจัยทางคลินิกจะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับให้ยาสมุนไพรไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก

“เรายังพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก สิ่งสำคัญคือ การพัฒนายาสมุนไพรที่อิงองค์ความรู้ตำรับยาแผนไทยดั้งเดิม ไม่ใช่แค่ใช้สมุนไพรเดี่ยว แต่ต้องเข้าใจโครงสร้างของตำรับที่ประกอบด้วยตัวยาหลัก ตัวยารอง ตัวยาคุมฤทธิ์ และตัวยาปรุงแต่งรสชาติ กลิ่น สี ซึ่งส่วนประกอบตัวยาสมุนไพรแต่ละชนิดในตำรับยาจะทำหน้าที่ร่วมกันทั้งด้านการรักษาและลดผลข้างเคียง” คณบดีวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส DPU กล่าว

พร้อมกันนี้ ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการวิจัยทางคลินิกที่เป็นระบบ เพื่อพิสูจน์ “คุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย” โดยเฉพาะในกลุ่มยาแผนไทยที่ใช้รักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งแตกต่างจากยาเคมีสมัยใหม่ที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีหลายโรคที่ได้แต่บรรเทาอาการโรคโดยยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ขณะที่ยาแผนไทยสามารถดูแลผู้ป่วยในเชิงการรักษา ป้องกัน ฟื้นฟู และปรับสมดุลของร่างกายได้อย่างยั่งยืน

ในประเด็นแนวทางสำหรับเกษตรกรและผู้ประกอบการ หากต้องการให้สมุนไพรไทยเป็นสินค้าเศรษฐกิจที่แท้จริง ควรเริ่มจากการเลือกพืชสมุนไพรที่ตลาดต้องการหรือมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพ มีจุดเด่นด้านสรรพคุณ มีงานวิจัยสนับสนุนด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย ใช้เทคโนโลยีสมุนไพรที่เหมาะสม และมีแหล่งวัตถุดิบที่เพียงพอเพื่อรองรับการผลิตเชิงพาณิชย์

ในด้านการศึกษา วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (www.dpu.ac.th/th/college-of-health-and-wellness) ได้พัฒนาโมเดลต้นแบบที่เชื่อมโยงการรักษาและการวิจัยอย่างครบวงจร ผ่านการจัดตั้ง DPU คลินิกแพทย์แผนไทย ที่พัฒนาเป็นคลินิกระดับพรีเมียม เพื่อดูแลผู้ป่วยโดยเฉพาะโรค NCDs และอาการปวดที่เกิดจากการทำงาน หรือออฟฟิศซินโดรม ซึ่งเป็นต้นแบบคลินิกที่ได้รับความไว้วางใจจากชุมชน พร้อมวางแผนขยายสู่การจัดตั้งโรงงานต้นแบบสำหรับพัฒนาสกัดสารสมุนไพรไทย โรงงานผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สุขภาพ รวมถึงศูนย์พัฒนานวัตกรรมตำรับยาสมุนไพรไทยที่ได้มาตรฐานระดับสากล โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาองค์ความรู้และต่อยอดสมุนไพรไทยให้ก้าวสู่ระบบเศรษฐกิจสุขภาพอย่างยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงงานวิจัย การรักษา และการพัฒนาอุตสาหกรรมได้อย่างเป็นรูปธรรม




กำลังโหลดความคิดเห็น