xs
xsm
sm
md
lg

DPU เปิดบ้านต้อนรับคณะ วกส. ตอกย้ำบทบาทผู้นำ Wellness และนวัตกรรมไทย สู่เศรษฐกิจยั่งยืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดงานต้อนรับคณะผู้บริหารจากหลักสูตรวิทยาการเกษตรระดับสูง (วกส.) รุ่นที่ 6 เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 โดยมี ผศ. ดร.พัทธนันท์ เพชรเชิดชู รองอธิการบดีสายงานวิชาการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นประธาน พร้อมด้วย ผศ. นพ.มาศ ไม้ประเสริฐ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ (CIMw), ดร. พีระยุทธ มั่งคั่ง รองคณบดีวิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ, รศ.ดร.ภก.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ คณบดีวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส (CHW) และ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ ร่วมกับคณาจารย์ ผู้บริหาร DPU ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

การเยี่ยมชมครั้งนี้มีขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้าน Wellness และ Anti-aging รวมถึงนำเสนอศักยภาพและแนวทางการพัฒนา DPU สู่การเป็น "ศูนย์กลางแห่งสุขภาพอนาคต" ที่มุ่งเน้นนวัตกรรม เพื่อพัฒนาและสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพของคนไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์

ชู "Wellness" ปั้นสังคมสูงวัยคุณภาพ

ผศ.ดร.พัทธนันท์ เพชรเชิดชู รองอธิการบดีสายงานวิชาการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ได้กล่าวเน้นย้ำถึงบทบาทและทิศทางของมหาวิทยาลัยที่มุ่งมั่นที่จะเป็น "ศูนย์กลางแห่งสุขภาพด้านเวชศาสตร์ป้องกันและเวชศาสตร์ฟื้นฟู" และผู้นำด้าน Wellness และ Anti-aging อย่างครบวงจร โดยการให้ความสำคัญต่อแนวคิดหลักที่ว่า "Preventive and regenerative medicine" คือ การสร้างสุขภาวะที่ดีเริ่มตั้งแต่การป้องกันและต่อยอดด้วยการฟื้นฟู

ผศ.ดร.พัทธนันท์ระบุอีกว่า "สุขภาพไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการรักษา แต่หมายถึง Wellness คือสุขภาวะที่รวมเอา Body, Mind, และ Soul เข้ามาเป็นองค์ประกอบโดยรวม" เป้าหมายของ Wellness ในแบบฉบับ DPU คือการเน้นการป้องกันก่อนที่จะป่วย เพื่อให้ผู้คนสามารถ "แก่ได้อย่างมีความสุข" และใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ แม้ในวัย 70-80 ปีก็ยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศได้ ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน การดูแลสุขภาพในมิติเวชศาสตร์ชะลอวัย ยังรวมถึงการปรับพฤติกรรมการบริโภค โดยเน้นหลัก "กินอาหารเป็นยา" เพื่อให้สารอาหารช่วยฟื้นฟูและป้องกันการเสื่อมของเซลล์ ซึ่งแนวทางนี้ไม่เพียงชะลอวัย แต่ยังลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังต่างๆ


ทุ่มงบ 600 ล้านบาท สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพ

รองอธิการบดียังเปิดเผยถึงแนวทางการรองรับการเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพ โดยมหาวิทยาลัยได้ลงทุน 600 ล้านบาทในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย โดยกำลังก่อสร้างอาคารใหม่ขนาดประมาณ 10,000 ตารางเมตร ซึ่งจะเป็น "ห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย" สำหรับ 6 คณะและวิทยาลัยในกลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพและเวลเนส เช่น คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ คณะเทคนิคการแพทย์ คณะกายภาพบำบัด ฯลฯ

ทั้งนี้ "วัตถุประสงค์ของเราต้องการทำหน้าที่ของมหาวิทยาลัยในการช่วยเหลือสังคมและประเทศในระยะยาวไปพร้อมๆ กับการยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง" อาคารแล็บแห่งใหม่นี้มีห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีขั้นสูงที่จะเปิดโอกาสให้บุคลากรและนักศึกษาได้พัฒนางานวิจัยร่วมกับภาคอุตสาหกรรมและเครือข่ายในประเทศและระหว่างประเทศ

ผศ.ดร.พัทธนันท์ระบุอีกว่า “เราต้องเตรียมรับมือกับแนวโน้มอัตราการเกิดของไทยที่ลดลงจาก 1 ล้านคนต่อปี เหลือเพียง 500,000 คนในปัจจุบัน และอีก 5 ปีข้างหน้าประชากรไทย 3 ใน 10 จะเป็นกลุ่มผู้สูงวัย การผลิตบุคลากรสุขภาพรุ่นใหม่จึงเป็นพันธกิจสำคัญ”

ขณะเดียวกัน อาคารโรงพยาบาลเดิมของมหาวิทยาลัยก็กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงให้เป็น “โรงพยาบาลต้นแบบด้าน Wellness และ Anti-aging” โดยเฉพาะ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัยที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไทยและอาเซียน ซึ่งปัจจุบัน DPU มีคณะและวิทยาลัยรวม 19 แห่ง จากเดิมที่เน้นสายสังคมศาสตร์ได้ขยายไปสู่สายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในสายสุขภาพ พร้อมทั้งผลักดันหลักสูตรนานาชาติรองรับนักศึกษาต่างชาติ


ผู้นำคณาจารย์พร้อมขับเคลื่อนอนาคตสุขภาพไทย

นอกจากวิสัยทัศน์และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน DPU ยังมีคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมขับเคลื่อนอนาคตสุขภาพไทย อาทิ ผศ.นพ.มาศ ไม้ประเสริฐ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ (CIMw) ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มกิจกรรม Open House และยังเป็นประธานรุ่น วกส. รุ่นที่ 6 ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของ DPU ในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์นี้ โดยมองว่าการเชื่อมโยงเครือข่ายและความร่วมมือ (Connection) คือ “สิ่งสำคัญในการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่” และ "ความรู้นี้เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศชาติดีขึ้น"

ผศ.นพ.มาศยังเสริมว่า DPU เป็นสถาบันที่กล้า "คิดและลงมือทำ" โดยใช้จุดแข็งจาก 6 วิทยาลัยและคณะสายสุขภาพ สอดคล้องกับแนวทางการขยายคณะสู่สายวิทยาศาสตร์สุขภาพที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ เพื่อตอกย้ำการเป็น "ศูนย์กลางแห่งสุขภาพอนาคต" วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการได้บุกเบิกหลักสูตร Anti-aging and Regenerative Medicine (ปริญญาโท) และ Aesthetic Medicine รวมถึงพัฒนาหลักสูตร Integrative Nutritional Medicine (ปริญญาโทและเอก) และ Management in Health and Beauty ซึ่งหลักสูตรกลุ่มนี้เป็นหลักสูตรใหม่และเป็นหลักสูตรที่มีทั้งระดับปริญญาโทและปริญญาเอกแห่งแรกในประเทศไทย เพื่อมุ่งผลิตบุคลากรด้าน Wellness ที่ครบวงจรที่สุดในไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติ

ด้าน รศ.ดร.ภก.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ คณบดีวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส (CHW) ผู้ได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 12 ผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรระดับโลก โดยองค์การสหประชาชาติได้เล่าถึงการขับเคลื่อนพัฒนานวัตกรรมสมุนไพรไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล โดยได้บุกเบิกการวิจัยยาสมุนไพรสำหรับรักษาโรค NCDs ด้วยตำรับแผนไทยที่ได้รับการพัฒนาและยอมรับในระดับสากล ทำให้มั่นใจว่าไทยจะเป็นผู้นำโลกด้านการรักษาโรคด้วยสมุนไพร

วิทยาลัยฯ จึงได้มุ่งเน้น "สร้างเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมสุขภาพและสมุนไพร" โดยอาศัย Know-how ขั้นสูงและจุดแข็งของประเทศ ซึ่งรวมถึงหลักสูตรที่เกี่ยวข้องอย่างวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, การแพทย์แผนไทย, การแพทย์ทางเลือก, อาหารสุขภาพและอาหารอนาคต และกำลังพัฒนาหลักสูตรเภสัชศาสตร์สมุนไพร เพื่อให้สอดรับกับศักยภาพของไทย

รศ.ดร.ภก.สุรพจน์ยังชี้ว่า "ตลาด Wellness ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 6.3 ล้านล้านเหรียญในปี 2023 ซึ่งการแพทย์แผนไทยจะเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนไทยสู่ผู้นำด้าน Health & Beauty, Nutrition และ Precision Medicine" โดยเน้นแนวคิด "Green Concept" เพื่อให้กระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และครอบคลุมถึงการพัฒนา Green Clinic ซึ่งเป็นคลินิกแพทย์แผนไทยระดับพรีเมียม และมีแผนต่อยอดไปสู่ Green Pharmacy ร้านยาที่เน้นผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและธรรมชาติ ในอาคารใหม่ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จต้นปีหน้า นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา หุ่นยนต์ AI นวดรักษาโรคขั้นสูงตามศาสตร์เส้นประธาน 10 ซึ่งจะเป็นต้นแบบแรกของโลกที่ใช้ศาสตร์การแพทย์แผนไทย พร้อมเปิดคลินิกแพทย์แผนไทยระดับพรีเมียม ที่สามารถรักษาโรคเรื้อรัง เช่น NCDs และ Office Syndrome ได้


กฎหมาย เครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสุขภาพ

นอกจากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพผ่านนวัตกรรมทางการแพทย์และสมุนไพร ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ ได้เน้นย้ำถึง บทบาทสำคัญของกฎหมายในยุค "Triple Disruption" ซึ่งรวมถึง Digital Transformation, ผลกระทบจากโรค COVID-19 และมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจสุขภาพ

ธุรกิจสุขภาพต้องมีกรอบกฎหมายที่แข็งแกร่ง ไม่เพียงเพื่อป้องกันความเสี่ยง แต่เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างมั่นคง หนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนบทบาทของกฎหมายคือคดี "เจอ จ่าย จบ" ซึ่งเป็นประกันโควิดที่มีข้อสัญญาไม่เป็นธรรม ทีมงานของ ดร.สุทธิพลได้ดำเนินคดีจนได้รับชัยชนะ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของกฎหมายในการปกป้องสิทธิของประชาชนและสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจ

เพื่อให้ธุรกิจสุขภาพสามารถเติบโตในยุคดิจิทัล DPU ได้เปิดหลักสูตร LBA (Law for Business Administration) ซึ่งเป็นหลักสูตร Hybrid 2 ปี สำหรับผู้ที่ไม่ได้จบนิติศาสตร์แต่ต้องการองค์ความรู้ด้านกฎหมายเพื่อบริหารธุรกิจ หลักสูตรนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนธุรกิจ พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

"กฎหมายไม่ใช่เป็นแค่เพียงเครื่องมือในการป้องกันตัวเอง แต่เป็นกุญแจที่สำคัญในการปลดล็อกเพื่อสร้างโอกาสและศักยภาพของธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน" ดร.สุทธิพลกล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ภายหลังจากการนำเสนอคณะผู้บริหารจาก วกส. ยังได้มีโอกาสซักถามและเยี่ยมชมบูทจัดแสดงผลงานด้านนวัตกรรม และงานวิจัยของวิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส และคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวคิดในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสถาบัน และพัฒนาแนวทางที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์





กำลังโหลดความคิดเห็น