รายงานพิเศษ
อ่านประกอบ : เจาะลึกรายโครงการเจ้าปัญหา “งบประกันสังคม” ยังต้องชี้แจงอะไรบ้าง?
“อยากให้สำนักงานประกันสังคม มองว่า การจัดงาน HACK งบประกันสังคม เกิดขึ้นเพราะความหวังดีที่จะช่วยให้ใช้เงินกองทุนประกันสังคมถูกใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพ”
สุภอรรถ โบสุวรรณ ผู้ก่อตั้ง HANDse วิสาหกิจเพื่อสังคม ที่ขับเคลื่อนประเด็นการต่อต้านคอร์รัปชันด้วยการผลักดันให้ภาครัฐเปิดเผยข้อมูลการทำงานให้สาธารณชนมีช่องทางติดตามตรวจสอบได้ แสดงความเห็นต่อการเปิดเผยข้อมูลงบประมาณกองทุนประกันสังคม ที่เกิดจากคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎร จัดงาน HACK งบประกันสังคม และพบข้อสังเกตการใช้งบประมาณในหลายส่วน ผ่านการใช้สัดส่วน 3% ของงบประมาณที่คิดเป็นเงินถึง 7.8 พันล้านบาทมาเป็นงบบริหาร”
ผู้ก่อตั้ง HANDse ระบุว่า การเปิดเผยการใช้จ่ายงบประมาณกองทุนประกันสังคม เป็นกระบวนการที่ทำให้เห็นความก้าวหน้าที่ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณของหน่วยงานรัฐ ซึ่งไม่ควรมองว่าเป็นการจับผิด แต่เป็นไปเพื่อทำให้การใช้งบประมาณมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีนี้ จะเห็นได้ว่า การเปิดเผยงบของกองทุนประกันสังคมเกิดขึ้นได้หลังจากมีคณะกรรมการกองทุนที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาช่วยให้ข้อมูล
“ประชาชนจะมีพลังเพิ่มขึ้นมากผ่านการทำ Open Data หรือ การผลักดันให้มีรัฐบาลเปิด (Open Government) ครับ อย่างกรณีนี้เราจะเห็นได้เลยว่า การที่มีกลุ่มประกันสังคมก้าวหน้าที่มาจากการเลือกตั้งเข้าไปเป็นบอร์ด ทำให้สามารถดึงข้อมูลงบประมาณออกมาเปิดเผยได้ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความโปร่งใสและนำไปสู่การพัฒนาประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณในอนาคต”
“และที่มีคำตอบว่า ฝ่ายการเมืองไม่ควรเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ น่าจะเป็นการตอบคำถามที่ไม่ถูกต้อง เพราะฝ่ายการเมือง หรือ ส.ส. คือ ตัวแทนของประชาชน”
สุภอรรถ ยังเห็นว่า การตรวจสอบงบประมาณของกองทุนประกันสังคม เป็นที่สนใจของประชาขนมาก เพราะมี “ข่าวลือ” ออกมาตลอดว่า กองทุนกำลังมีสถานะที่ไม่มั่นคงในสถานการณ์ที่ประเทศไทยเข่าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้กองทุนต้องจ่ายเงินออกไปมากแต่เก็บเงินได้น้อยลงเพราะมีคนในวัยทำงานที่เข้าระบบประกันสังคมน้อยลง ... และหากเชื่อมโยงไปกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับสิทธิการเข้ารับรักษาพยาบาลที่ถูกมองว่าด้อยกว่าสิทธิอื่นทั้งที่ผู้ประกันตนต้องถูกหักเงินเข้ากองทุนทุกเดือน ก็ยิ่งต้องแสดงให้เห็นว่า ประกันสังคมมีระบบการใช้เงินอย่างระมัดระวัง
“ไม่แปลกที่ประชาชนจะตั้งคำถาม เพราะนอกจากความไม่มั่นใจต่อความมั่นคงของกองทุนแล้ว ยังมีคำถามมากมายกับสิทธิที่ได้รับในการรักษาพยาบาลผ่านกองทุนประกันสังคมครับ มีเสียงวิจารณ์มาตลอดว่า ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนทุกเดือน 750 บาท รวมกับที่นายจ้างสมทบอีกเดือนละ 750 บาท รวมเป็นเดือนละ 1,500 บาท ควรจะได้รับสิทธิการรักษา ค่ายา ค่าเตียงในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้หรือไม่ และเมื่อประชาชนโดยเฉพาะคนที่จ่ายเงินเข้ากองทุนทุกเดือน เห็นข่าวว่าเงินถูกใช้ไปกับการทำปฏิทินแขวนปีละ 55 ล้านบาท ทำแอปพลิเคชันที่จ่ายเงินผ่านแอปไม่ได้ 275 ล้านบาท ทำระบบหลังบ้าน 850 ล้านบาทที่ยังมีข้อสังเกตต่อกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างด้วย หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายในการดูงานต่างประเทศพร้อมตั๋ว First Class ... ประชาชน ก็มีสิทธิจะคิดได้ว่า ควรจะใช้เงินเหล่านี้มาเพิ่มสิทธิการรักษาของพวกเขามากกว่าหรือไม่”
เมื่อพูดถึงโอกาสในการที่จะนำเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปสู่การปรับปรุงวิธีการใช้จ่ายงบประมาณ สุภอรรถ มองว่า การเปิดเผยงบค่าเดินทางต่างประเทศอย่างในกรณีการนั่งเครื่องบินด้วยชั้น First Class เป็นหนึ่งในหัวข้อที่อาจจะช่วยนำไปสู่การสร้างบทสนทนาใหม่ๆในสังคม ซึ่งไม่ใช่แค่การใช้จ่ายของสำนักงานประกันสังคม แต่อาจขยายผลไปถึงการทบทวนหลักเกณฑ์นี้ของระบบราชการทั้งหมดด้วยซ้ำ
“ถ้ามองในแง่บวก นี่เป็นคำถามที่อาจถามไปถึงระเบียบที่เปิดให้ใช้กับทุกหน่วยงานด้วยซ้ำ ว่าผู้บริหารของหน่วยงานต่างๆควรได้รับที่นั่งในเครื่องบินระดับไหน ซึ่งเมือไปดูระเบียบที่กำหนดไว้ใน “พระราชกฤษฎีกา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ” ก็จะเห็นว่ามีการระบุถึง “ตำแหน่งหน้าที่” ที่ได้สิทธิเดินทางด้วยตั๋วเครื่องบิน “ชั้นหนึ่ง” ไว้ มีตั้งแต่ระดับหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาล ประธานและรองประธานสภาฯและวุฒิสภา รัฐมนตรี ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานซึ่งหมายถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพ และยังระบุว่าถ้าใช้เวลาตั้งแต่ 9 ชั่วโมงขึ้นไป ยังรวมไปถึงรองปลัดกระทรวง ผู้ตรวจราชการ อธิบดี ผู้ว่าฯ ทหารหรือตำรวจที่มียศระดับพลเอก หรือ พลโท ด้วย”
“เราสามารถนำข้อท้วงติงของสังคมมาทบทวนได้นะครับว่า ระเบียบที่ใช้อยู่นี้เหมาะสมกับบริบทหรือสถานะทางการเงินของประเทศในปัจจุบันหรือไม่ หรืออาจจะดูลึกลงไปในรายละเอียดถึงความจำเป็นที่ต้องได้ที่นั่งชั้นหนึ่ง เช่น ดูว่าในราชการที่ไปนั้นจำเป็นต้องรีบไปทำงานเลยมั้ย ไปราชการในรูปแบบไหน ตำแหน่งไหนที่อาจมีความจำเป็นจริงๆและตำแหน่งไหนอาจไม่จำเป็น เครื่องบินชั้นธุรกิจในปัจจุบันบางสายการบินมีที่นั่งที่ดีกว่าในอดีตแล้วหรือไม่ และอาจดูเชื่อมโยงไปถึงการเก็บข้อมูลว่า ประเทศไทยใช้เงินส่วนนี้ไปมากน้อยแค่ไหน แต่ละเที่ยวไปดูงานอะไรบ้าง ได้ผลลัพธ์ที่สามารถนำมาชี้แจงกับประชาชนอย่างไรบ้าง ก็จะทำให้หน่วยราชการอาจจะใช้เงินน้อยลงไปได้มาก หรือในงานไหนที่มีความจำเป็นก็จะมีข้อมูลที่หนัแน่นมาอธิบายให้สังคมเข้าใจถึงความคุ้มค่าได้ไม่ยาก”
ส่วนคำชี้แจงของสำนักงานประกันสังคมและกระทรวงแรงงาน ที่ยืนยันว่า การใช้เงินทุกโครงการที่ถูกตั้งคำถามล้วนเป็นไปตามระเบียบของสำนักงบประมาณ ที่ให้ใช้เงินเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานได้ที่ 10% ของงบที่ได้รับการจัดสรรมา และใช้ไปเพียงแค่ 3% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าเพดานที่ได้รับอนุญาตให้ใช้มากแล้ว สุภอรรถ มีความเห็นว่า ยังไม่ใด้ตอบข้อสงสัยที่แท้จริงของสังคม ซึ่งถามถึงความคุ้มค่าหรือประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ไม่ได้ถามว่าถูกต้องตามระเบียบหรือไม่
“ถ้าดูตามระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณในส่วนนี้ ก็ถูฏต้องตามที่สำนักงานประกันสังคมชี้แจงมาครับ แต่ถ้าเราลงลึกไปดูในข้อเท็จจริง ก็จะพบว่า 3% ของงบประมาณจากกองทุนประกันสังคม คือ 3% ของเงินจำนวน 2.6 แสนล้านบาทต่อปี ถ้าแบ่งมาใช้เป็นงบบริหารเต็มเพดานที่ 10% จะเป็นเงินถึง 2.6 หมื่นล้านบาท และถึงแม้จะบอกว่าใช้ไปแค่ 3% ก็เป็นจำนวนเงินสูงถึงปีละ 7.8 พันล้านบาท”
“ยิ่งถ้านำไปเปรียบเทียบกับการบริหารกองทุนของเอกชนผ่าน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ก็จะพบว่า ส่วนใหญ่ตั้งงบค่าใช้จ่ายในการบริหารไว้ที่ประมาณ 1-2% เท่านั้น มากที่สุดก็ไม่เกิน 3% ของขนาดกองทุน และมีข้อสังเกตเพิ่มว่า ยิ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่ที่มีเงินเข้ากองทุนจำนวนมาก การตั้งงบบริหารโดยคิดเป็นเป็นเปอร์เซ็นต์ จะทำได้จำนวนเงินที่มากเกินจริงหรือไม่ ... ผมเห็นว่า ยิ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่ ยิ่งไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายเต็มเพดานก็ได้ ไม่ต้องฟุ่มเฟือยก็ได้ เพราะมีเงินมากอยู่แล้ว แม้จะถูกตามระเบียบ”
ผู้ก่อตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคม HANDse ตั้งข้อสังเกตทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ข้อมูลที่ได้จากงาน HACK งบประกันสังคมครั้งนี้ อาจเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่จะทำให้สำนักงานประกันสังคมได้ทบทวนแนวทางการใช้จ่ายเงินกองทุนในส่วนของการบริหารงาน และอาจจะช่วยให้กองทุนสามารถนำเงินที่มีอยู่ไปวางแนวทางการเพิ่มสิทธิค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้ประกันตน เพื่อปรับปรุงการให้บริการไปในทางที่ดีขึ้นได้ พร้อมเสนอว่า นี่ยังเป็นโอกาสที่สำนักงานประกันสังคมน่าจะได้หารือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. (หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า) ว่าจะสามารถแสวงหาทั้งในแง่องค์ความรู้และการบริหารจัดการงบประมาณได้อย่างไร จึงจะทำให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิที่ดีขึ้นกว่าเดิม
“ผมเสนอให้ประกันสังคมกับ สปสช.ไปหารือกัน ว่ามีงบประมาณเท่านี้ จะสามารถร่วมกันออกแบบหรือจัดทำแพกเกจให้สิทธิกับประชาชนได้มากขึ้นได้อย่างไรบ้าง โดยใช้ประสบการณ์ของผู้ประกันตนเป็นสารตั้งต้น ... ถ้าผู้ผู้ประกันตน ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินเข้ากองทุน รู้สึกพึงพอใจกับสิทธิที่เขาได้รับ เขาก็จะรู้สึกต่อไปได้เองว่า งบประมาณถูกใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพ” สุภอรรถ ทิ้งท้าย