xs
xsm
sm
md
lg

แพ้ไม่เป็น! ฝรั่งหาเรื่องโวย โดนจีนแย่งเหรียญทองปารีสเกมส์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ใน “ปารีส โอลิมปิก” ครั้งนี้ เป็นครั้งที่นักกีฬาทีมชาติจีนสามารถก้าวขึ้นมาแย่งชิงเหรียญทอง และเหรียญรางวัล ในกีฬาซึ่งเดิมที “คนผิวขาว” นั้นครองความเป็นเจ้ามาตลอด จนทำให้ นักกีฬาและโค้ช จากชาติตะวันตกหลายคน กลับรับไม่ได้-แพ้ไม่เป็น ปั้นเรื่องกล่าวหาว่านักกีฬาจีนว่า โกง หรือ ใช้สารกระตุ้น หรือ โด๊ป เสียดื้อ ๆ โดยไม่มีหลักฐานอ้างอิงในการกล่าวหาแต่อย่างใด?



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพ ซึ่งทีมชาติจีนกับทีมชาติสหรัฐฯ กำลังเบียดกันเป็นเจ้าเหรียญทอง โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการแข่งขันที่สนใจ คือ ว่ายน้ำ ที่ปกติแล้วเป็นกีฬาที่ นักกีฬาผิวขาว ชาวสหรัฐฯ กับ ออสเตรเลีย เป็นเจ้าสระมาโดยตลอด แต่ว่าในโอลิมปิกครั้งนี้ ทีมว่ายน้ำผิวเหลืองจากจีนได้สร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญทองในการแข่งขันประเภท“ผลัดผสมชาย 4x100 เมตร” ชนะสหรัฐฯ ซึ่งยึดครองเหรียญทองในการแข่งขันรายการนี้มายาวนานถึง 64 ปี ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960


ทั้งนี้ นักว่ายน้ำหนุ่มที่ถูกพูดถึงมากที่สุด ชื่อว่าพาน จ่านเล่อวัย 20 ปี เป็นชาวเมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง โดยเขาคว้า 2 เหรียญทองจากการแข่งว่ายน้ำ “ผลัดผสม 4x100 เมตรชาย” และ “ฟรีสไตล์ 100 เมตร” โดยวันที่เขาได้เหรียญทอง คือ วันที่ 4 สิงหาคม ยังเป็นวันเกิดของเขาเองด้วย จึงถือเป็นของขวัญวันเกิดที่น่าภาคภูมิใจที่สุด


ในโอลิมปิกครั้งนี้ พาน จ่านเล่อ ยังสร้างสถิติโลกใหม่ของการแข่งว่ายน้ำ “ฟรีสไตล์ 100 เมตร” โดยทุบสถิติของตนเองในการแข่งขันว่ายน้ำฟรีสไตล์ 100 เมตร ในเวลาเพียง 46.40 วินาที(สำหรับสถิติเดิมเป็นสถิติตัว พานเองเคยทำไว้ที่ 46.80 วินาที ในการแข่งชิงแชมป์โลก ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ปีนี้)เอาชนะไคล์ ชาลเมอร์สนักว่ายน้ำจากออสเตรเลียที่ทำเวลา 47.48 วินาที ได้ถึง 1 วินาที ซึ่งจากภาพถ่ายจะเห็นได้ชัดว่า พาน จ่านเล่อ ทิ้งห่าง ไคล์ ชาลเมอร์ส ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ถึงหนึ่งช่วงตัว


ซึ่งสำหรับการแข่งขันว่ายน้ำระยะสั้นในระดับโลก การทิ้งกันเป็นช่วงตัว เวลาห่างกันเกือบวินาทีนั้นเรียกได้ว่าเป็นการเสียหน้าอย่างรุนแรง ด้วยเหตุนี้ ภายหลังการแข่งขัน เบร็ต ฮอว์ก โค้ชว่ายน้ำของทีมออสเตรเลีย ​จึงโพสต์อินสตาแกรมวิจารณ์สถิติของพาน จ่านเล่อ ว่า “การว่ายน้ำด้วยความเร็วขนาดนั้น มันเกินกว่าที่มนุษย์จะทำได้” และ “ไม่ใช่ชีวิตจริง​” หรือเท่ากับเป็นการกล่าวหากลาย ๆ ว่าพาน จ่านเล่อ นักว่ายน้ำจากจีนนั้นโกงลูกทีมตัวเอง ด้วยการใช้สารกระตุ้น !?!


ทั้งนี้พาน จ่านเล่อเป็น นักว่ายผิวเหลือง จากเอเชียคนเดียวในรอบชิง​ชนะเลิศ 100 เมตรชาย​ ที่มีแต่นักกีฬาผิวขาว จากชาติตะวันตก คือสหรัฐฯ, โรมาเนีย,ฮังการี, ออสเตรเลีย, ฝรั่งเศส, เยอรมนี​ โดยพานอธิบายว่าสาเหตุที่ตัวเองมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะการฝึกฝนอย่างหนัก

“ผมได้ฝึกฝนอย่างหนัก ทั้งแอโรบิก และความอดทนของร่างกายเพื่อเพิ่มกำลังในการว่าย และยังนำระบบวิเคราะห์และสังเกตการณ์ใต้น้ำมาใช้ เพื่อทบทวนเทคนิคและสโตรกในการว่าย จึงช่วยให้ฝึกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”


ทั้งนี้ การนำเทคโนโลยีเข้ามาผสานกับวิทยาศาสตร์การกีฬา ของจีนในวันนี้นั้นไปไกลมากแล้ว

พาน จ่านเล่อ ยังได้ระบายความในใจต่อด้วยว่า

“ผมเข้าไปทักทายกับไคล์ ชาลเมอร์ และนักกีฬาทีมสหรัฐฯ แต่ถูกเมินใส่ แถมพวกเขายังตีน้ำกระเซ็นโดนโค้ชทีมจีนด้วย ผมรู้สึกว่าพวกเขาดูถูกพวกเรา เเต่วันนี้ผมคว้าเหรียญทองมาได้ อีกทั้งยังทำลายสถิติโลกด้วย”


นักว่ายน้ำทีมจีนยังบอกว่า หากตั้งคำถามซ้ำแล้วซ้ำอีกกับตัวเขา และนักว่ายน้ำจากจีน แต่เหตุใดสื่อมวลชนตะวันตก ถึงไม่เคยตั้งข้อสงสัยกับนักว่ายน้ำในตำนานอย่าง ไมเคิล เฟลป์ (Michael Phelps) ที่เคยได้เหรียญทองโอลิมปิกรวมกันมากถึง 23 เหรียญ และ แคธี เลเดคกีร์ (Katie Ledecky) ยอดนักว่ายน้ำสาวชาวอเมริกันซึ่งกวาดเหรียญโอลิมปิกมาหลายครั้งนับเป็นสิบเหรียญ และลงแข่งในปารีส โอลิมปิกครั้งนี้ด้วยบ้าง?


ฝรั่งแพ้ไม่เป็น? หาเรื่องตรวจสารกระตุ้น

ความพ่ายแพ้ในกีฬาที่ “ฝรั่งผิวขาว” ยึดครองแชมป์มาตลอด ทำให้รับไม่ได้ และพยายามหาเรื่องนักกีฬาทีมจีน โดยสื่อสหรัฐฯ ทั้ง นิวยอร์กไทม์, NBC และ CNN ต่างรายงานอย่างเข้มข้นว่า สำนักงานสืบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (FBI) และกระทรวงยุติธรรม จะสืบสวนเจ้าหน้าที่ของ องค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก World Anti-Doping Agency หรือเรียกย่อๆ ว่า วาด้า (WADA) ว่า เพิกเฉย ปล่อยให้นักว่ายน้ำชาวจีนที่มีผลทดสอบสารต้องห้ามเป็นบวกในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียวปี 2021 หนีการลงโทษ และยังลงแข่งขันในปารีสโอลิมปิก จนคว้าเหรียญรางวัลได้


ด้านองค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (WADA) ออกมาชี้แจงว่า สารกระตุ้นที่ตรวจพบในนักกีฬาของจีนในครั้งนั้นมาจากการปนเปื้อนในอาหาร และนักกีฬาชาวจีนที่ร่วมแข่งขันในปารีสโอลิมปิก ได้ผ่านการตรวจสารกระตุ้นแล้ว

แถลงการณ์ของ WADA ยังได้ประณาม การใช้การตรวจสารกระตุ้น เพื่อหากล่าวหานักกีฬาคู่แข่งอย่างมีอคติ และแรงจูงใจทางการเมือง

นอกจากนี้ ยังมีคณะผู้ตรวจสอบอิสระของ สหพันธ์กีฬาทางน้ำโลก หรือ World Aquatics ออกมาสนับสนุนว่า WADA ไม่ได้ปล่อยปละละเลย หรือพยายามปกปิดความผิดแต่อย่างใด


ทั้งนี้ ข้อมูลจากสหพันธ์กีฬาทางน้ำโลก ระบุว่านักกีฬาว่ายน้ำทีมจีนที่เข้าแข่งขันในปารีสโอลิมปิก มีการตรวจสารกระตุ้นเฉลี่ยมากกว่านักกีฬาทีมสหรัฐฯ ถึง 4 เท่า คือ นักกีฬาทีมจีนเข้ารับการตรวจสารกระตุ้นเฉลี่ยคนละ 21 ครั้ง ส่วนนักกีฬาสหรัฐฯ ตรวจหาสารกระตุ้นเฉลี่ยแค่คนละ 6 ครั้ง และนักว่ายน้ำชาวออสเตรเลียตรวจเฉลี่ยแค่ คนละ 4 ครั้ง


พาน จ่านเล่อ เจ้าของเหรียญทองว่ายน้ำ บอกว่า เขารับการตรวจสารกระตุ้นครั้งสุดท้าย ตอน 6 โมงเช้าในวันที่ลงแข่งขันเสียด้วยซ้ำ แต่ก็พร้อมจะให้ความร่วมมือ แม้ว่าการตรวจโด๊ป ที่บ่อยครั้งเกินไปจะทำให้นักกีฬาเสียเวลาพักผ่อนก็ตาม

ถึงแม้นักกีฬาของจีนจะถูกตรวจหาสารกระตุ้นบ่อยกว่านักกีฬาของชาติตะวันตก แต่ฝ่ายสหรัฐฯ พยายามเรียกร้องให้เพิ่มการตรวจสารต้องห้ามในทีมนักกีฬาว่ายน้ำของจีนถี่ขึ้นไปอีก ....จนนายโธมัส บาค ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ออกมายืนยันอีกคนหนึ่งว่า ความถี่ในการตรวจการใช้สารต้องห้ามในกีฬาว่ายน้ำ ที่กำหนดโดยหน่วยงานอย่าง WADA และ สหพันธ์กีฬาทางน้ำโลก รับรองความยุติธรรมในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกได้แล้ว


แต่ฝ่ายสหรัฐฯ ยังสะกดคำว่า “น้ำใจนักกีฬา” ไม่เป็น โดยเมื่อวั นที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา นักการเมืองของสหรัฐฯ กลุ่มหนึ่งเสนอร่างกฎหมายที่ชื่อว่าRestoring Confidence in WADA Act หรือร่างกฎหมายเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อองค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก

ร่างกฎหมายดังกล่าวเสนอให้สหรัฐฯ ระงับจ่ายเงินค่าสมาชิกปีละ 3 ล้านดอลลาร์ ให้กับ WADA ถ้าพบว่าละเลยการทำหน้าที่ หรือมีความไม่เป็นธรรม ร่างกฎหมายนี้พูดง่าย ๆ ก็คือ WADA จะไม่ได้เงินจากสหรัฐฯ ถ้าไม่ยอมทำตามกฎที่สหรัฐฯ ตั้งขึ้น !?!

พฤติกรรมของสหรัฐฯ ไม่ใช่การ “ความเป็นธรรม” ให้กับนักกีฬา แต่เพื่อรักษา “ความเป็นเจ้า” ของชาติตะวันตกในกีฬาโอลิมปิก

ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ในอดีต ก็เคยมีนักกีฬาของสหรัฐฯ ถูกตรวจพบสารกระตุ้น แต่กลับแก้ตัวอย่างข้าง ๆ คูๆ เช่น

-ในโอลิมปิกปี 1996 แมร์รี่ สลานีย์ Mary Slaney นักวิ่งชาวสหรัฐฯ ถูกตรวจพบสารกระตุ้น แต่เธออ้างว่าเป็นเพราะ กินยาคุมกำเนิด

แมร์รี่ สลานีย์
-ในปี 1998 เดนนิส มิตเชลล์ Dennis Mitchell นักกรีฑา ชาวสหรัฐฯ ถูกตรวจพบสารกระตุ้น และเขาอ้างว่าเป็นเพราะ มีเซ็กส์ และ ดื่มเบียร์มากเกินไป

เดนนิส มิตเชลล์
ในโลกของกีฬา ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา นักกีฬาของชาติตะวันตกมีความได้เปรียบจากสรีระ-รูปร่าง ที่สูงใหญ่และแข็งแกร่งกว่าชาวเอเชีย อาหารการกินที่สมบูรณ์กว่า และยังใช้วิทยาศาสตร์การกีฬา เข้าช่วยเพิ่มศักยภาพของนักกีฬา ทำให้ ฝรั่ง ผูกขาดครองแชมป์การแข่งขันกีฬาหลายประเภท

แต่ทุกวันนี้ นักกีฬาของชาติเอเชีย ก็ใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาเหมือนกัน และมีการปรับปรุงเรื่องอาหาร ใช้โค้ชต่างชาติ และฝึกฝนซ้อมอย่างมุ่งมั่น ทำให้นักกีฬาของชาติเอเชียเอาชนะนักกีฬาของชาติตะวันตกได้ในกีฬาหลายประเภท ที่ต้องใช้ศักยภาพของร่างกาย เช่น ว่ายน้ำ เทนนิส กรีฑา มวยปล้ำ ฟันดาบ เป็นต้น ซึ่งกีฬาเหล่านี้เคยเป็นเวทีของชาวตะวันตกเท่านั้น


การผงาดขึ้นมาของนักกีฬาผิวเหลือง จากเอเชีย ทำให้ชาติตะวันตกยอมรับไม่ได้ - แพ้ไม่เป็น และใช้วิธีหาเรื่องต่างต่างนานา รวมทั้ง พยายามรักษาสถานะการเป็น “ผู้คุมกฎ” ในองค์กร, สมาพันธ์กีฬา ต่าง ๆ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ชาติเอเชียยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้

เรื่องกีฬาก็เป็นภาพสะท้อนของ การแข่งขันในเรื่องอื่น ๆ เช่น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, การสำรวจอวกาศ, การค้า, การเงิน รวมถึงภูมิรัฐศาสตร์อื่น ๆ ที่ชาติตะวันตก “ยอมไม่ได้” ที่จะให้ชาติเอเชียขึ้นมาทาบรัศมี ต้องคอยสกัดกั้นทุกวิถีทาง แต่ยิ่งกีดกัน-ปิดล้อม ก็ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้คู่แข่งจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองขึ้นมา และเอาชนะให้ได้ในสักวันหนึ่ง

นอกจากนี้ นักกีฬายุคใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ของจีน และของเอเชียอีกหลายประเทศ ซึ่งล้วนแล้วแต่ยังเด็ก ๆ อยู่ หลายคนอายุ 18, 19, 20 ปี หรือเรียกได้ว่าเกิดช่วงก่อนหลังปี 2000 ล้วนแล้วแต่เก่งในกีฬาประเภทที่ตะวันตกเคยครอบครองความเป็นเจ้า, แต่เด็กรุ่นใหม่เหล่านี้โดยเฉพาะชาวจีนภาคภูมิใจในความเป็นจีน ไม่เกรงกลัวฝรั่งเหมือนคนรุ่นพ่อแม่ หรือ ปู่ย่าตายายแม้แต่น้อย


ที่สำคัญคือไม่เพียงเก่งกาจในเชิงกีฬาเท่านั้น แต่ยังมีความรักชาติอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ยกตัวอย่างเช่น พาน จ่านเล่อ นักว่ายน้ำเจ้าของสถิติโลกที่พูดย้ำอยู่เสมอว่าประเทศชาติต้องมาก่อน และยกเหรียญทองนี้ให้กับประเทศชาติ

“มาตุภูมิคอยสนับสนุนผมอยู่ด้านหลังมาตลอด เมื่อผมลงไปในน้ำ ก็เพียงคิดแต่ว่า จะทำอย่างไรไม่ทำให้ประเทศชาติต้องขายหน้า”


กำลังโหลดความคิดเห็น